เมื่อคุณเริ่มก้าวแรกเข้าสู่โลกของอีคอมเมิร์ซ มีเรื่องใหม่ๆ ให้เรียนรู้อีกมากมาย
คุณอาจมีสินค้าที่ดีอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าต้องแพ็กออเดอร์อย่างไร? จะช่วยลูกค้าที่กำลังหงุดหงิดได้แบบไหน? หรือจะสร้างแคมเปญการตลาดอย่างไรให้เวิร์ก?
Etsy เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายงานฝีมือและแฮนด์เมด เพราะมีฐานผู้ซื้อในตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องออกแบบเว็บไซต์ หรือมีความรู้เรื่องการดึงทราฟฟิกมาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น คุณอาจอยากเปิดร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง เพราะการมีร้านค้าเป็นของตัวเองจะช่วยให้คุณควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้มากขึ้น และยังสามารถสร้างแบรนด์ที่น่าจดจำได้ด้วย
สำหรับผู้ขายหลายคน การมีทั้งร้านบน Etsy และร้านบน Shopify ช่วยเสริมกันอย่างลงตัว และได้ประโยชน์จากทั้งสองแพลตฟอร์ม
ถัดจากนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจความแตกต่างระหว่าง Etsy และ Shopify พร้อมวิธีการเชื่อมต่อการใช้งานทั้งสองแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ผ่านตัวอย่างจริงจากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
ทำไมต้องขายทั้งบน Etsy และ Shopify?
คุณไม่จำเป็นต้องปิดโปรไฟล์ Etsy เพื่อมาเปิดร้านบน Shopify เพราะการใช้ทั้งสองช่องทางควบคู่กัน จะช่วยเพิ่มการมองเห็นออนไลน์ของคุณ และเปิดโอกาสในการขยายฐานลูกค้าได้ดีที่สุด
ด้วยความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Shopify และ Etsy ทำให้แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นเฉพาะตัว
ต่อไปนี้คือโอกาสสำคัญที่ Shopify มอบให้แตกต่างจาก Etsy
ปรับแต่งร้านค้าได้เต็มที่
ผู้ใช้ Shopify เป็นเจ้าของประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง คุณสามารถควบคุมดีไซน์หน้าร้านและบรรยากาศร้านได้อย่างอิสระ ด้วยโปรแกรมออกแบบร้านที่ไม่ต้องเขียนโค้ด
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ร้านค้าและเครื่องมือจัดการหลังบ้านก็ยืดหยุ่นมาก ด้วยแอปเสริมอีกหลายพันรายการที่ออกแบบมาเฉพาะ
ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า
ค่าธรรมเนียมการทำรายการของ Etsy อยู่ที่ 6.5% ต่อการขายหนึ่งครั้ง ซึ่งอาจกระทบต่อกำไรของคุณ ในขณะที่ Shopify มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ทำให้คุณเก็บรายได้จากยอดขายได้มากขึ้น
เป็นเจ้าของกลุ่มลูกค้าเอง
Shopify เปิดโอกาสให้คุณบริหารจัดการกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายกว่า กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เก็บรายชื่ออีเมล และแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อทำแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคลได้เต็มที่ และที่สำคัญ ต่างจาก Etsy ตรงที่คุณสามารถโอนรายชื่อลูกค้าไปยังแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย

ในขณะเดียวกัน การขายสินค้าบน Etsy ก็มีข้อดีเฉพาะตัว เพราะแพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นมาเพื่อผู้ขายงานฝีมือและสินค้าวินเทจโดยเฉพาะ จึงมาพร้อมกลุ่มลูกค้าที่ตรงเป้าหมายและฟีเจอร์ที่ออกแบบมาสำหรับเจ้าของธุรกิจรายบุคคลโดยเฉพาะ
คอมมูนิตี้ที่มีผู้ใช้งานคึกคัก
ชื่อเสียงของ Etsy ในฐานะแหล่งรวมสินค้างานแฮนด์เมด ทำให้เป็นจุดหมายของผู้ซื้อที่ตั้งใจมาหาสินค้าแนวนี้ ผู้ขายยังสามารถเพิ่มการมองเห็นได้ด้วยการซื้อโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจช่วยสร้างยอดขายได้ตรงจังกว่าการทำการตลาดรูปแบบอื่น เช่น อีเมล หรือ SEO
เริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว
คุณสามารถเปิดร้านได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแบบเว็บไซต์ ไม่ต้องสร้างแบรนด์ใหม่ และไม่ต้องวางแผนการตลาดซับซ้อน เพียงแค่กรอกข้อมูลธุรกิจและรายละเอียดสินค้าในเทมเพลตของ Etsy ก็พร้อมเริ่มขายได้ทันที
มาเปรียบเทียบฟีเจอร์ของ Shopify และ Etsy เพิ่มเติมกัน
วิธีขายบน Etsy และ Shopify
หากคุณมีร้านค้าอยู่บน Etsy อยู่แล้ว ลองพิจารณาซิงก์ร้านเข้ากับร้านค้าออนไลน์ของคุณ การเชื่อมต่อ Shopify เข้ากับ Etsy นั้นทำได้ง่าย และช่วยให้คุณจัดการออร์เดอร์ทั้งหมดได้จากแดชบอร์ดเดียว

วิธีเชื่อมต่อร้าน Etsy และ Shopify
เมื่อคุณเชื่อมต่อร้านค้า Etsy กับร้านบน Shopify การขายจะถูกซิงก์เข้าด้วยกัน ทำให้คุณสามารถติดตามสต็อกสินค้าได้จากที่เดียว
ขั้นตอนการเชื่อมต่อร้าน คือการติดตั้งแอป Marketplace Connect บนหน้าหลังบ้านของคุณ
ผ่านแอปนี้ คุณสามารถนำเข้าแคตตาล็อกสินค้า จาก Shopify ไปยัง Etsy และแพลตฟอร์มช้อปปิ้งยอดนิยมอื่นๆ เช่น Amazon, Target Plus และ eBay ได้อีกด้วย
3 เรื่องราวความสำเร็จจาก Etsy และ Shopify
มาดูตัวอย่างจริงจากเจ้าของร้าน 3 ราย ที่สร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยการใช้หลายช่องทางขายควบคู่กัน
1. ใช้ Marketplace ทดลองตลาด

Olivia Wang ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Floral Neverland เริ่มเปิดร้านบน Etsy ตั้งแต่ปี 2014 ตอนที่เธอยังเป็นนักเรียนอยู่ เธอมองว่าการขายของบนแพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางหารายได้เสริมที่น่าสนใจ
“การตั้งร้านบน Etsy ง่ายมากจริงๆ” Olivia เล่า “ฉันแค่ถ่ายรูปสินค้าบางชิ้น อัปโหลดขึ้น Etsy ใส่แบนเนอร์น่ารักๆ ให้ร้าน เขียนเล่าเรื่องราวเบื้องหลังร้านสั้นๆ แค่สองย่อหน้า แล้วก็พร้อมขายได้เลย”
หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงานด้านการตลาดดิจิทัล Olivia ก็ตระหนักได้ว่าเธอสามารถใช้ทักษะการตลาดที่มี เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กับร้านของตัวเองได้มากขึ้น
และเพื่อต่อยอดแบบนั้น เธอจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มขายสินค้าที่มีความยืดหยุ่นมากพอจะสร้างแบรนด์ได้อย่างเต็มที่

“เราไม่อยากให้ร้านเป็นแค่รายได้เสริม แต่อยากให้มันกลายเป็นงานประจำในอนาคต” Olivia กล่าว “ก็เลยตัดสินใจว่านี่แหละ คือเวลาที่เราต้องสร้างแบรนด์ของตัวเองที่ไม่ได้อยู่บน Etsy ต้องสร้างคอมมูนิตี้ของตัวเอง และเล่าเรื่องราวในแบบของตัวเอง”
แม้ตอนนี้เธอยังคงมีร้านค้าอยู่บน Etsy แต่ Olivia ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับร้านบน Shopify ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า

ภายในหนึ่งปีหลังจากเปิดร้านบน Shopify Olivia สามารถสร้างฐานผู้ติดตามบน Instagram ที่สอดคล้องกับแนวคิดและสไตล์แบรนด์ของตัวเองได้สำเร็จ นอกจากนี้ เธอยังขยายฐานแฟนคลับไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้านอกเหนือจากตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่าง Etsy
“การสร้างความภักดีต่อแบรนด์บน Etsy นั้นยาก เพราะส่วนใหญ่ลูกค้ามักภักดีต่อ Etsy มากกว่าตัวแบรนด์เอง” Olivia กล่าว
หลังจากขยายธุรกิจจาก Etsy แล้ว Olivia ได้นำตัวตนของแบรนด์ใส่เข้าไปในทุกองค์ประกอบของธุรกิจ รวมถึงการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์แบบเฉพาะตัว เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
“เชื่อว่าการแพ็กสินค้าเป็นส่วนสำคัญของแบรนด์ และทุ่มเทเวลาใส่ใจในทุกขั้นตอนของการแพ็กสินค้า” Olivia เล่าเพิ่มเติม “มีลูกค้าหลายคนส่งอีเมลมา หรือบางคนก็ติดแท็กใน Instagram เพื่อขอบคุณสำหรับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใส่ลงไปในกล่องสินค้า”
2. สร้างพื้นที่เพื่อการเติบโต

เมื่อ Lorena Haldeman เจ้าของแบรนด์ HaldeCraft ก้าวเข้าสู่โลกของการทำสินค้าและขายออนไลน์ เธอมีพื้นฐานที่แข็งแรงจากประสบการณ์ค้าปลีกเดิมในการบริหารร้านขายไหมพรม
ประสบการณ์นั้นเองที่พาให้ Lorena เริ่มขายสินค้าบน Etsy ในปี 2010
“Etsy ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเริ่มขายของออนไลน์ แต่เป็นครั้งแรกที่เราขายไหมพรมที่ย้อมเองด้วยมือ และสบู่ที่ทำเอง จุดขายหลักยังคงเป็นงานเซรามิกที่ทำเป็นงานอดิเรกมาตลอดชีวิต” Lorena เล่า โดยเธอได้รับแรงบันดาลใจและเรียนรู้ทักษะเหล่านี้จากคุณยายผู้ประกอบการ
เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น จุดเล็กๆ บางอย่างใน Etsy ก็เริ่มสร้างความหงุดหงิดให้กับ Lorena โดยเฉพาะเมื่อสินค้ามีหลากหลายประเภทมากขึ้น ทำให้ต้องการระบบการจัดหมวดหมู่เพิ่มเติมเพื่อทำให้ร้านดูเป็นระเบียบมากขึ้น
“เราเริ่มขยายสินค้าเซรามิกให้หลากหลาย และย้อมไหมพรมหลากหลายขนาดมากขึ้น” เธอเล่า “ยิ่งเพิ่มสินค้า ยิ่งจัดหมวดหมู่บน Etsy ได้ยาก และทำให้ลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ลำบาก”
บนร้าน Shopify Lorena สามารถสร้างหมวดหมู่และหมวดย่อยได้ตามต้องการ ทำให้การจัดการรายการสินค้ามีประสิทธิภาพ และลูกค้าก็สามารถเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
แม้ตอนแรก Lorena กังวลว่าค่าใช้จ่ายในการสร้างร้านเองอาจทำให้ต้องปิดร้าน Etsy แต่สุดท้ายก็พบว่าการเปิดทั้งสองแพลตฟอร์มพร้อมกันเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
“ตอนที่เริ่มทำเว็บไซต์ Shopify ในปี 2012 สิ่งที่ยังคงขายบน Etsy มีแค่สินค้าที่ขายได้ซ้ำๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล” Lorena เล่า “ใช้เวลาส่วนใหญ่โปรโมตร้านบน Shopify จากนั้นจะเริ่มอัปเดตสินค้าใน Etsy ช่วงเดือนสิงหาคม เพื่อเตรียมรับเทศกาลปลายปี”
Lorena ยังสามารถพาลูกค้าที่ต้องการเลือกชมสินค้าหลากหลายยิ่งขึ้นจาก Etsy ไปยังร้านบน Shopify ได้สำเร็จ
สิ่งสำคัญคือ เธอยังคงสานต่อจุดแข็งของการเป็นธุรกิจแฮนด์เมดขนาดเล็กในทุกขั้นตอน
“ถ้าเคยเขียนข้อความขอบคุณด้วยลายมือใส่ในใบแพ็กสินค้าเวลาขายบน Etsy ก็ควรทำแบบนั้นต่อไปบน Shopify ด้วย” Lorena แนะนำ
เมื่อขายทั้งบน Shopify และ Etsy ควรสังเกตว่าผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นทำผลงานได้ดีแค่ไหน หากมีสินค้าที่ทำยอดขายสูงบน Etsy ก็ควรรักษาร้านเอาไว้ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการรับทราฟฟิกและสร้างการรู้จักแบรนด์เพิ่มขึ้น ปัจจุบันร้าน HaldeCraft บน Etsy ก็ยังคงดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ให้กับ Lorena อย่างต่อเนื่อง
3. สร้างธุรกิจหลายช่องทางตั้งแต่เริ่มต้น

ตอนที่ Ross Worden เริ่มต้นธุรกิจ Conquest Maps เขาไม่มีทั้งประสบการณ์ ไม่มีความรู้เรื่องตลาดเป้าหมาย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดส่งสินค้าอย่างไร
แต่สิ่งที่ Ross มี คือความตั้งใจอยากมอบแผนที่ท่องเที่ยวสุดพิเศษให้ภรรยา แต่ติดตรงที่ไม่สามารถหาแผนที่ที่ตรงกับสิ่งที่คิดไว้ทางออนไลน์ได้
จึงตัดสินใจทำแผนที่เอง และเมื่อผลงานออกมาดี ก็ผลิตเพิ่มอีก 5 ชิ้นแล้วโพสต์ขายบน Etsy ผลลัพธ์คือแผนที่ทั้งหมดขายหมดเกลี้ยง กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ Ross เดินหน้าพัฒนาธุรกิจ Conquest Maps ต่อไป
เมื่อมองหาช่องทางขยายธุรกิจนอกเหนือจาก Etsy Ross ได้ลองใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมหลายแห่ง
Ross ทดลองใช้แพลตฟอร์มอื่น 2 เจ้า ก่อนจะมาเจอกับ Shopify
“ใช้งานได้ค่อนข้างง่าย และไม่นานเว็บไซต์ก็ออนไลน์ได้” Ross เล่า
ด้วยการใช้กลยุทธ์ขายหลายช่องทาง Ross ยังคงบริหารทั้งร้านบน Shopify และร้านบน Etsy ไปพร้อมกัน
“แม้ว่าเราจะเน้นขับเคลื่อนทราฟฟิกไปยังร้าน Shopify เป็นหลัก แต่ Etsy ก็ยังคงเป็นช่องทางที่ดีในการขายสินค้า” Ross กล่าว
หนึ่งในเหตุผลที่ Conquest Maps เลือกผลักดันลูกค้าไปที่ร้าน Shopify คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
“Etsy เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม” Ross บอก “เหมาะสำหรับการทดสอบตลาดและไอเดียสินค้า เพราะบน Etsy มีทราฟฟิกมหาศาลอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มที่พร้อมซื้อสินค้าเจ๋งๆ แต่ข้อเสียคือ ลูกค้าเหล่านั้นไม่ใช่ลูกค้าของเราเอง พวกเขาคือลูกค้าของ Etsy”
“เมื่อมีร้านบน Shopify ลูกค้าจะเป็นของเราเอง สามารถติดต่อและทำการตลาดกับพวกเขาได้ตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต”

Conquest Maps ปรับแต่งเว็บไซต์ของตัวเองด้วยการออกแบบเซกชันเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เทมเพลตมาตรฐานของ Etsy รองรับได้ไม่สะดวกนัก
"ในความเป็นจริง อีคอมเมิร์ซจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ดังนั้นควรใช้โอกาสที่มีในตอนนี้ให้เต็มที่ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเสมอ" Ross แนะนำ
การขายสินค้าหลายช่องทางช่วยปกป้องยอดขายของธุรกิจ หากวันหนึ่งช่องทางหนึ่งเริ่มทำผลงานได้ไม่ดี คุณก็ยังมีทางเลือกอื่นในการเข้าถึงลูกค้าอยู่เสมอ
เป็นเจ้าของทั้งแบรนด์และลูกค้าด้วย Shopify
หากคุณได้สร้างธุรกิจบน Etsy แล้ว การเปิดร้าน Shopify อาจเป็นขั้นตอนที่เหมาะสมต่อไปสำหรับแบรนด์ของคุณ เพราะหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ธุรกิจของคุณมั่นคงในอนาคต คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านเว็บไซต์ที่บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์คุณ ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง คุณจะพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Etsy และ Shopify
จะขายทั้งบน Etsy และ Shopify ได้มั้ย?
การขายทั้งบน Etsy และ Shopify พร้อมกันนั้นง่ายมาก เพียงใช้แอปการเชื่อมต่อจาก Shopify App Store การขายบนทั้งสองแพลตฟอร์มจะช่วยให้สินค้าของคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น โดยการขายบน Etsy คุณจะได้รับประโยชน์จากตลาดที่มีผู้ซื้อในตัว ขณะที่ Shopify ช่วยให้คุณสามารถเติบโตแบรนด์ของตัวเองได้
ความแตกต่างระหว่าง Etsy และ Shopify คืออะไร?
ทั้ง Shopify และ Etsy ต่างก็เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่มีความแตกต่างหลักๆ คือ Etsy เป็นตลาดออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าและเรียกดูสินค้าของคุณบนเว็บไซต์ของ Etsy ได้ ขณะที่ Shopify ให้คุณสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อขายสินค้าและบริการลูกค้าโดยตรง
การใช้ Etsy และ Shopify มีข้อดียังไงบ้าง?
ข้อดีของ Etsy คือ
- เข้าถึงตลาดที่มีผู้ซื้อที่มีความตั้งใจซื้อสูง
- การตั้งร้านง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
- เครื่องมือโฆษณาที่ช่วยให้การตลาดง่ายขึ้น
- ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือนในแผนฟรี (จ่ายเมื่อขายสินค้าหรืออัปเกรดเป็น Etsy Plus)
ประโยชน์ของ Shopify คือ
- ควบคุมภาพลักษณ์และแบรนด์ได้เต็มที่
- ฟีเจอร์ขั้นสูงที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้บนเว็บไซต์
- เป็นเจ้าของข้อมูลลิสต์อีเมลและลูกค้า
- ค่าธรรมเนียมการทำรายการต่ำ
- ขยายธุรกิจไปสู่หน้าร้านค้าปลีกด้วย Shopify POS ได้อย่างราบรื่น
การเชื่อมต่อ Shopify กับร้าน Etsy มีวิธียังไง?
คุณสามารถเชื่อมต่อแคตตาล็อกสินค้า สต็อก และยอดขายจากร้าน Shopify ไปยัง Etsy ได้โดยการเพิ่มแอป Marketplace Connect ในระบบแอดมินของร้าน