ธุรกิจขายส่งออนไลน์ หมายถึง หมายถึงการขายสินค้าจำนวนมากให้กับธุรกิจอื่น ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์และในราคาที่ลดพิเศษ อุตสาหกรรมนี้มีขนาดใหญ่มาก โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023
ข้อดีของธุรกิจขายส่งออนไลน์ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ ปริมาณการสั่งซื้อที่สูงขึ้น ใช้เวลาน้อยลงในการกรอกข้อมูลและงานบริหาร การเป็นผู้ค้าส่งจะช่วยให้คุณขยายเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่และเปิดช่องทางรายได้ใหม่ๆ สำหรับธุรกิจของคุณ
แล้วคุณเริ่มต้นยังไงดี บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ พร้อมหาคำตอบว่า ธุรกิจขายส่งออนไลน์ทำงานอย่างไร จะค้นหาแพลตฟอร์มธุรกิจขายส่งออนไลน์ได้จากไหน และเคล็ดลับในการสร้างร้านค้าส่งออนไลน์ของคุณมีอะไรบ้าง
ระบบของธุรกิจขายส่งออนไลน์
รูปแบบของการขายส่งที่พบได้บ่อยที่สุดคือการขายระหว่างผู้ผลิต (อย่างคุณ) กับร้านค้าปลีก แต่ก็ยังมีผู้ค้าส่งบางรายที่ขายให้กับผู้ค้าส่งรายอื่นด้วย และบางเจ้าก็เลือกขายตรงให้กับผู้บริโภค เช่น Makro เป็นต้น

ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของการขายส่งคือช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ การขายสินค้าแบบเหมาจำนวนทำให้คุณสามารถรับออร์เดอร์ล็อตใหญ่โดยไม่ต้องลงทุนด้านการตลาดมาก ซึส่งผลให้คุณทำกำไรต่อชิ้นได้มากขึ้น แถมยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย
เวลานึกถึงการขายส่งแบบอีคอมเมิร์ซ หลายคนอาจจะนึกถึงเว็บไซต์ขนาดใหญ่อย่าง Alibaba ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะการขายส่งมักถูกมองว่าเป็นช่องทางการขายแบบดั้งเดิม ที่ประสบการณ์ซื้อขายอาจจะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาและพฤติกรรมของผู้ซื้อ B2B ที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้ภาพของการขายส่งออนไลน์เปลี่ยนไปเช่นกัน
ทุกวันนี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มขยับเข้าสู่การขายส่งเพื่อขยายธุรกิจ โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลหรือเสี่ยงสูงเหมือนแต่ก่อน ด้วยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ B2B ที่เหมาะสม พ่อค้าแม่ค้าที่อยากเริ่มธุรกิจขายส่งออนไลน์ ไม่ว่าจะเจ้าเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถทำงานทุกอย่างได้แบบอัตโนมัติ ตั้งแต่การสมัครไปจนถึงขั้นตอนชำระเงิน แถมยังตั้งราคาสำหรับลูกค้าขายส่งได้เฉพาะด้วย
ขายส่งออนไลน์ B2B กับ ขายปลีกออนไลน์ ต่างกันยังไง?
ตอนนี้คุณเข้าใจหลักการทำงานของเว็บไซต์ขายส่งออนไลน์แล้ว ลองมาดูความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่างธุรกิจขายส่งออนไลน์ กับธุรกิจขายปลีกออนไลน์กัน ความแตกต่างที่สำคัญ ก็ได้แก่
กลุ่มเป้าหมาย
ธุรกิจขายส่ง คือการขายสินค้าให้กับธุรกิจอื่น ๆ (B2B) ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้อาจเป็นผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ร้านค้าปลีก หรือแม้กระทั่งธุรกิจขายส่งด้วยกันเอง โดยปกติแล้ว ลูกค้ากลุ่มนี้จะสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมาก เพื่อนำไปขายต่อให้กับผู้บริโภคปลายทางอีกที
ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตเสื้อผ้ารายหนึ่งขายเสื้อยืดจำนวนมากให้กับเครือร้านค้าปลีกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเอง
ในทางกลับกัน ธุรกิจค้าปลีกจะขายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภค (B2C) การขายลักษณะนี้มักจะเป็นการขายสินค้าในปริมาณน้อย และมีสินค้าหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
ตัวอย่างของธุรกิจค้าปลีกก็คือ ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ที่ขายเสื้อยืดให้กับลูกค้าแต่ละรายผ่านเว็บไซต์หรือแอปของตัวเอง
ปริมาณการสั่งซื้อ
ธุรกิจขายส่งออนไลน์จะขายสินค้าแบบสั่งล็อตใหญ่ โดยมักจะเสนอราคาส่วนลดให้เมื่อสั่งซื้อในปริมาณมาก เพราะยิ่งซื้อเยอะ ต้นทุนต่อหน่วยก็ยิ่งต่ำลง ตัวอย่างเช่น ร้านขายส่งอุปกรณ์สำหรับร้านอาหาร ที่ขายชุดอุปกรณ์ครัวเป็นแพ็กใหญ่ให้กับธุรกิจร้านอาหาร
ส่วนร้านค้าปลีกจะขายสินค้าแบบแยกชิ้นหรือในปริมาณน้อย ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน เช่น ร้านเครื่องครัวออนไลน์ที่ขายชุดอุปกรณ์ครัวแบบเซ็ตเดียวให้กับคนที่ชอบทำอาหารที่บ้าน
ราคา
ผู้ค้าส่งจะขายสินค้าของตนในราคาต่อหน่วยที่ต่ำกว่า เนื่องจากมีปริมาณการขายสูง ราคาที่ต่ำกว่านั้นทำได้เพราะต้นทุนในการขายสินค้าจำนวนมากให้กับผู้ซื้อคนเดียวจะต่ำกว่าการขายสินค้าทีละชิ้นให้กับผู้ซื้อหลายคน ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าส่งที่ขายหลอดไฟ LED จำนวน 100 หลอดในราคาหลอดละ 50 บาท ให้กับร้านฮาร์ดแวร์
ส่วนร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรงจะขายในราคาต่อหน่วยที่สูงกว่า เนื่องจากต้องครอบคลุมต้นทุนในการเก็บสินค้า การตลาด และการขาย เช่น ร้านไฟออนไลน์ที่ขายหลอดไฟ LED หนึ่งหลอดให้กับลูกค้าในราคา 100 บาท เป็นต้น
การจัดการความสัมพันธ์
ธุรกิจขายส่งออนไลน์มักจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการสินค้าต่อเนื่อง การรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ แพลตฟอร์มธุรกิจขายส่งออนไลน์มักมีฟีเจอร์ที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี เช่น การตั้งราคาที่ปรับตามลูกค้าแต่ละราย การติดตามประวัติการสั่งซื้อ การทำการสั่งซื้อซ้ำ และอีกมากมาย
ในขณะที่ร้านค้าปลีกมักจะมีการซื้อขายครั้งเดียวหรือบางครั้งจากลูกค้า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับการค้าปลีกมักเน้นที่ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายครั้งเดียว เช่น คำแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล รีวิวจากลูกค้า และกระบวนการคืนสินค้า
“อย่าหลงคิดว่า B2B แตกต่างจาก B2C อีคอมเมิร์ซโดยสิ้นเชิง” Bryan Eisenberg ผู้เขียนร่วมของ Be Like Amazon: Even a Lemonade Stand Can Do It กล่าว “มีความละเอียดอ่อนต่างกันตามระดับทักษะทางเทคนิคของลูกค้า แต่ในที่สุดแล้วเราก็ยังขายให้กับผู้คนอยู่ดี
“ความคาดหวังในการซื้อสินค้าออนไลน์ถูกกำหนดโดยผู้เล่นจากภายนอกอุตสาหกรรมของคุณ เช่น Amazon.com ใช้ประโยชน์จากวิดีโอ รูปภาพมากมาย รีวิว และไลฟ์แชทถ้าเป็นไปได้”
ประเภทของผู้ค้าส่ง
ไม่ว่าคุณจะอยากทำงานกับธุรกิจขายส่ง หรือจะกลายเป็นธุรกิจขายส่งเอง สิ่งสำคัญคือการเข้าใจวิธีการทำงานที่แตกต่างกันของโมเดลธุรกิจ B2B นี้
ผู้ผลิต
ผู้ผลิตจริงคือผู้ที่ผลิตสินค้าจริงและทำหน้าที่เป็นผู้ขายส่งด้วย พวกเขาขายสินค้าของตัวเองในปริมาณมากให้กับผู้ค้าปลีก เช่น หากบริษัทหนึ่งผลิตหลอดไฟ LED พวกเขาอาจขายหลอดไฟเหล่านั้นในจำนวนมากให้กับผู้ค้าปลีกหรือธุรกิจที่ใช้สินค้านั้น
ผู้จัดจำหน่าย
ตัวแทนจำหน่ายไม่ใช่ผู้ผลิตสินค้าต้นทาง พวกเขาซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแล้วขายในปริมาณมากให้กับผู้ค้าปลีก
ตัวแทนจำหน่ายจะดูแลด้านโลจิสติกส์และการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถมุ่งเน้นไปที่การผลิตได้ ตัวแทนจำหน่ายอาจซื้อเครื่องดื่มจากผู้ผลิต และนำไปขายให้กับร้านอาหารและร้านขายของชำ
ผู้ให้บริการดรอปชิป
ผู้ค้าส่งออนไลน์เหล่านี้จะไม่เก็บสต็อกสินค้าแทน พวกเขาจะนำสินค้าจากผู้ผลิตมาขายบนเว็บไซต์ของตัวเอง และเมื่อมีการขาย ผู้ผลิตจะเป็นผู้จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรง
ผู้นำเข้า/ส่งออก
ธุรกิจขายส่งประเภทนี้มีความเชี่ยวชาญในการค้าระหว่างประเทศ พวกเขานำเข้าสินค้าจากต่างประเทศหรือนำสินค้าภายในประเทศไปขายในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าส่งนำเข้า/ส่งออกอาจนำเข้ากาแฟจากฝรั่งเศสและอิตาลีมาขายที่สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ธุรกิจขายส่งออนไลน์ B2B ช่วยผู้ค้าส่งอย่างไร
เคยมีความเชื่อกันว่า ลูกค้า B2B ไม่ค่อยนิยมช่องทางดิจิทัลมากนัก จริงอยู่ ความเชื่อดั้งเดิมมักกล่าวว่าการซื้อขายขายส่งนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำผ่านออนไลน์ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้จัดจำหน่ายจำนวนมากยังไม่ได้ลงทุนในอีคอมเมิร์ซ
การมีข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทางดิจิทัลทำให้ลูกค้า B2B สามารถรวบรวมข้อมูลได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่า คุณจะมีโอกาสน้อยลงในการมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อขายส่งแบบตัวต่อตัว
เทคโนโลยีต่างๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ B2B ทำให้ผู้ค้าส่งสามารถขายสินค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้ประโยชน์จากข้อดีดังต่อไปนี้
ทำให้กระบวนการซื้อสะดวกขึ้น
ผู้ค้าส่งมักจะรู้สึกว่าธุรกิจค้าส่งออนไลน์ไม่เหมาะกับพวกเขา เพราะกระบวนการซื้อขายที่ซับซ้อน มีความกังวลเกี่ยวกับการตั้งราคาตามสัญญา การจำหน่ายสินค้าพิเศษ และลูกค้าที่มีเงื่อนไขพิเศษมักจะเป็นอุปสรรคต่อการนำอีคอมเมิร์ซมาใช้
แม้ข้อกังวลเหล่านี้จะมีเหตุผล แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับธุรกิจขายส่งที่เหมาะสม สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และผลักดันการเติบโตของธุรกิจได้ คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ B2B อีคอมเมิร์ซส่วนตัวที่มีข้อมูลทั้งหมดที่ลูกค้าต้องการได้อย่างง่ายดาย แทนที่จะต้องให้ลูกค้าติดต่อมาเพื่อขอข้อมูลพื้นฐาน
“ความเชื่อที่ว่า ‘ประสบการณ์การซื้อที่น่าจดจำ’ เป็นสิ่งสำคัญนั้น ขอบอกว่าไม่จริงเลย ประสบการณ์ออนไลน์สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจขายส่งออนไลน์ควรเป็นแบบเรียบง่ายที่สุด ผู้ซื้ออยากได้สินค้าที่ใช้งานได้ดี พวกเขามีใบสั่งซื้อที่ต้องกรอก และอยากให้ทุกอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
—Neil Stuber ผู้จัดการแบรนด์ Hurraw! Balm
อีคอมเมิร์ซยังทำให้ลูกค้าธุรกิจขายส่งหาผู้ขายส่งและผู้จัดจำหน่ายออนไลน์ได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา จะช่วยให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพหาคุณเจอได้เร็วขึ้นบนโลกออนไลน์
ทำให้กระบวนการขายส่งทำงานอัตโนมัติ
ระบบอัตโนมัติสำหรับการขายของออนไลน์ คือหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของการขายส่งในวันนี้ ตั้งแต่การสมัครสมาชิกไปจนถึงการชำระเงิน คุณจะใช้เวลาน้อยลงในการจัดการคำสั่งซื้อทางโทรศัพท์หรืออีเมล และสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจของคุณได้มากขึ้น
"สิ่งที่คนชอบเข้าใจผิดกันมากที่สุดเกี่ยวกับธุรกิจขายส่งคือ โมเดลการสั่งซื้อด้วยตัวเองแบบที่ใช้ในค้าปลีกไม่สามารถใช้ได้กับธุรกิจขายส่งออนไลน์ ในความจริงแล้ว ลูกค้าธุรกิจเองก็ได้ประโยชน์มากจากการสั่งซื้อออนไลน์ ในเวลาที่ตัวเองสะดวก พร้อมเห็นสถานะคำสั่งซื้อได้อย่างชัดเจนนั่นแหละ"
—Ben Chidiac ผู้ร่วมก่อตั้ง Beard & Blade
เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน เช่น B2B Ecommerce โดย Shopify สามารถช่วยคุณทำสิ่งต่างๆ ได้ อาทิ
- กำหนดราคาพิเศษและส่วนลดเฉพาะสำหรับลูกค้าหรือกลุ่มลูกค้า
- ทำให้กระบวนการสมัครสมาชิกและตรวจสอบลูกค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติ
- ให้ลูกค้าซื้อ ติดตาม และสั่งซื้อซ้ำได้
- ตรวจสอบคำสั่งซื้อก่อนออกใบแจ้งหนี้
- ทำให้การจัดการสต็อกและคำสั่งซื้อเป็นเรื่องง่ายและราบรื่น
ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ซื้อ
ผู้ซื้อในธุรกิจ B2B คาดหวังบริการที่เหมือนกับผู้ซื้อ B2C ในปัจจุบัน ผู้ซื้อวันนี้มีข้อมูลครบครันและไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับตัวแทนก่อนตัดสินใจซื้อ พวกเขาชอบประสบการณ์การสมัครสมาชิกและสั่งซื้อที่ง่าย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Shopify มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น พอร์ทัลบัญชีลูกค้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าใช้งานได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือ
“อย่าคิดว่าเว็บไซต์ของคุณควรจะตอบสนองทุกกลุ่มลูกค้า เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณแล้ว ปรับประสบการณ์ให้เหมาะสมกับพวกเขาเพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจขายส่ง” Jesse Teske รองประธานฝ่ายการตลาดประสิทธิภาพที่ ThinkWarwick กล่าว
“นั่นหมายถึงการเข้าใจว่า ลูกค้าของคุณต้องการฟีเจอร์อะไรจริงๆ พวกเขาต้องการฟีเจอร์ซับซ้อนแบบที่ผู้บริโภคทั่วไปต้องการหรือไม่ พวกเขาต้องการเครื่องมือและคู่มือเชิงโต้ตอบในการค้นหาสินค้าหรือเปล่า หรือพวกเขาต้องการแค่หน้าเว็บที่สะอาดตา ราคาที่ชัดเจน และการสนับสนุนเมื่อจำเป็นใช่ไหม”
อีคอมเมิร์ซสามารถช่วยให้ผู้ขายขายส่งทำนายความต้องการของผู้ซื้อได้ มันสามารถช่วยกระบวนการค้นคว้าของผู้ซื้อและรับประกันว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ได้ง่ายตลอดกระบวนการซื้อ
ช่วยเพิ่มยอดขายในขณะที่ลดค่าใช้จ่าย
การขายส่งออนไลน์เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเร่งการเติบโตของธุรกิจ หากคุณเป็นผู้ผลิต การขายในปริมาณมากช่วยเพิ่มจำนวนสินค้าที่ขายและลดต้นทุนต่อหน่วย ซึ่งส่งผลดีต่อกำไรของคุณ การจัดส่งในปริมาณมากให้กับลูกค้าน้อยรายยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
ธุรกิจขายส่งออนไลน์ ช่วยพาไปสู่ตลาดใหม่
การเข้าสู่ประเทศหรือพื้นที่ใหม่มาพร้อมกับความท้าทายด้านโลจิสติกส์ที่แตกต่างออกไป คุณยังต้องทำการตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อของคุณ
เมื่อร้านค้าปลีกที่มีชื่อเสียงร่วมงานกับธุรกิจของคุณ คุณสามารถใช้ห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา เพื่อลดความเสี่ยงและลดต้นทุนการตั้งค่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจขายส่งยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด โดยการเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีอยู่ของร้านค้านั้นๆ ได้เลย
วิธีเลือกแพลตฟอร์มธุรกิจขายส่งออนไลน์
แนวทางที่คุณควรใช้ เมื่ต้องการค้นหาแพลตฟอร์มธุรกิจขายส่งออนไลน์ที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ
เว็บไซต์ขายส่งแยกต่างหากที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน
การมีร้านค้าสำหรับขายส่งที่แยกต่างหากและมีการป้องกันด้วยรหัสผ่านเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างธุรกิจ B2B อีคอมมเมิร์ซของคุณ แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการขายส่งของคุณควรทำให้การสร้างร้านค้าง่ายขึ้น รวมถึงการเพิ่มสินค้าของคุณ สร้างบัญชีลูกค้า และสร้างรายการราคาสำหรับขายส่งได้อย่างสะดวกสบาย
ฟังก์ชันการค้นหาที่ดีและการเรียกดูแคตตาล็อก
การค้นหาบนเว็บไซต์มักเป็นฟังก์ชันที่ถูกมองข้ามมากที่สุดของเว็บไซต์ธุรกิจขายส่งออนไลน์ ฟังก์ชันการค้นหาที่มีประสิทธิภาพหมายถึงการใช้งานที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อค้นหาสินค้าได้เร็วขึ้น ยิ่งผู้ซื้อค้นหาสินค้าได้ง่ายเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อมากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น พอร์ทัลขายส่งของ The Elephant Pants แบรนด์นี้มีองค์ประกอบอีคอมเมิร์ซแบบ B2B หลายอย่าง เช่น แถบค้นหาที่เข้าถึงง่าย แค็ตตาล็อกที่ครอบคลุมสำหรับการเรียกดู และราคาที่ชัดเจน เป็นต้น
จากข้อมูลของ James Brooks ผู้ก่อตั้งและ CFO ของ The Elephant Pants พบว่าผู้ซื้อระหว่าง 80% ถึง 90% สร้างคำสั่งซื้อผ่านช่องทางขายส่ง เงื่อนไขจะพิจารณาเป็นรายผู้ซื้อ ซึ่งส่งผลให้การขายส่งเป็นช่องทางการขายที่สำคัญสำหรับแบรนด์
ระบบธุรกิจขายส่งออนไลน์ที่มีการผสานรวมและ API ยืดหยุ่น
การผสานรวมคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของร้านค้าธุรกิจขายส่งออนไลน์ การสร้างพอร์ทัลการขายที่ใช้งานง่ายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การผสานรวมจะนำคุณไปสู่จุดสูงสุด
แพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจขายส่งออนไลน์ที่ดี จะช่วยให้คุณสามารถดำเนินการด้านต่างๆ ได้ ดังนี้
- สร้างหน้าร้านและประสบการณ์ที่กำหนดเองได้
- ผสานรวมกับระบบที่มีอยู่ เช่น ERP หรือ CRM ผ่าน API และ SDK ที่ยืดหยุ่น
- เชื่อมต่อเครื่องมือธุรกิจออนไลน์ของคุณเข้ากับระบบอัตโนมัติของอีคอมเมิร์ซ
- ทำงานอัตโนมัติตั้งแต่งานง่ายๆ ไปจนถึงเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อน
เลือกแพลตฟอร์มที่มี API ที่เชื่อถือได้และมีการเปิดตัวเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ มองหาแพลตฟอร์มที่ให้สภาพแวดล้อมการพัฒนาไม่จำกัด เพื่อให้คุณสามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงร้านค้าก่อนที่จะเผยแพร่จริง
ปรับให้เหมาะสมสำหรับการค้นหาและการตลาดคอนเทนต์
ผู้ซื้อ B2B ก็ไม่ต่างจากผู้ซื้อ B2C เมื่อพูดถึงการค้นหาผู้จำหน่ายที่ตรงตามความต้องการ ทั้งสองกลุ่มมักจะค้นหาผ่าน Google เพื่อหาผู้จัดหาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ แต่ความแตกต่างคือผู้ซื้อ B2B มักจะไม่ได้เข้าไปที่หน้าสินค้าแล้วจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตในทันที พวกเขาต้องพิจารณาด้านโลจิสติกส์ ประชุมกับบอร์ด และพิจารณาเรื่องพื้นที่เก็บสินค้าก่อนที่จะตัดสินใจเลือกผู้จำหน่าย
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมการเลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซปรับแต่งมาให้เหมาะกับ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญ
"SEO เป็นเสมือนเหมืองทองสำหรับ B2B และในหลายตลาดยังมีการแข่งขันที่น้อยกว่าการขาย B2C หลายแบรนด์ใหญ่ๆ ยังไม่ได้ลงทุนใน SEO เพราะพวกเขาไม่เคยต้องการ ตัวอย่างเช่น ผมเพิ่งช่วยพาบริษัทช็อกโกแลต B2B ไปติดอันดับที่ 4 สำหรับคีย์เวิร์ดของพวกเขา แซงหน้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ๆ อย่าง Lindt และ Godiva…ในเวลาแค่เดือนเดียว"
—Jacob McMillen นักวางยุทธศาสตร์และคอนเทนต์ SEO
องค์ประกอบบางอย่างที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและไม่ควรมองข้าม ได้แก่
- แอปพลิเคชันและปลั๊กอินที่ช่วยในด้าน SEO
- หน้าโปรดักต์และคอลเลกชันที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสม
- ความสามารถในการทำการตลาดเนื้อหา เช่น การโฮสต์บล็อกและหน้า FAQ
“เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบ B2B และธุรกิจขายส่งออนไลน์หลายเจ้า มัวแต่ให้ความสำคัญกับการต้องใช้ข้อมูลเป็นหลักเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ แม้ว่าการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในปัจจุบัน ผู้ซื้อสามารถพบเจอสินค้าของคุณได้จากหลากหลายวิธีและช่องทาง คุณจึงสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่น้อย เพียงแค่เน้นกลยุทธ์แบบ Top-of-funnel และสร้างการรับรู้แบรนด์ให้แข็งแกร่งเท่านั้นเลย”
—Kevan Lee ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดที่ Buffer
รองรับการจัดการสินค้าคงคลังแบบหลายช่องทาง
การจัดการสินค้าคงคลังแบบหลายช่องทาง (Omnichannel) เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกแพลตฟอร์ม B2B ถ้าคุณมี (หรือวางแผนที่จะมี) ช่องทางการขายหลายช่องทาง คุณจะต้องการแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อกับทุกช่องทางการขายของคุณ เช่น ร้านค้าออฟไลน์ ร้านค้าออนไลน์ และตลาดออนไลน์ของผู้ให้บริการภายนอก
แพลตฟอร์มการค้า B2B ที่ดีจะทำให้การซิงค์สินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ในทุกช่องทางการขายของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นเมื่อสินค้าถูกขายออกไปในช่องทางหนึ่ง ช่องทางอื่นๆ จะได้รับการอัปเดตสินค้าคงคลังเช่นกัน วิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการขายเกินหรือขาดสต็อก ซึ่งอาจทำให้เสียชื่อเสียงและสูญเสียยอดขายได้
การสร้างธุรกิจขายส่งออนไลน์
หากคุณจะขายส่งในวันนี้ คุณต้องมีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในอนาคตได้
B2B Ecommerce โดย Shopify มอบฟีเจอร์ B2B แบบครบวงจรที่ถูกสร้างขึ้นโดยตรงในระบบแอดมิน คุณสามารถเลือกได้ระหว่างร้านค้าที่ผสมผสาน B2B และ DTC หรือร้านค้า B2B เฉพาะสำหรับลูกค้า B2B โดยเฉพาะ พร้อมกำหนดราคาสินค้า วิธีการชำระเงิน สกุลเงิน และอื่นๆ สำหรับลูกค้าแต่ละรายที่คุณขายให้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ฟีเจอร์ที่ปรับแต่งได้มากที่สุดของ Shopify เพื่อเสริมสร้างร้านค้าของคุณ เช่น ธีม ส่วนลด การเข้าถึง API และอื่นๆ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับธุรกิจขายส่งออนไลน์
ธุรกิจขายส่งออนไลน์คืออะไร
ธุรกิจขายส่งออนไลน์คือโมเดลการขายของออนไลน์แบบ B2B ที่คุณจะขายสินค้าทีละจำนวนมากและในราคาลดพิเศษให้กับธุรกิจอื่นๆ แทนที่จะขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง
แพลตฟอร์มไหนดีที่สุดสำหรับการขายส่ง
Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจขายส่งออนไลน์แบบ B2B เพราะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า DTC และ B2B พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากขนาดและความสามารถของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Shopify ที่สามารถขยายได้ทั่วโลกได้เลย
การขายส่งกับ B2B แตกต่างกันอย่างไร
การขายส่ง หมายถึงกระบวนการขายสินค้าทีละจำนวนมากในราคาต่ำ ซึ่งโดยทั่วไปจะขายให้กับร้านค้าปลีก ส่วน B2B เป็นคำที่กว้างขึ้นที่แทนการทำธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เช่น ระหว่างผู้ผลิตกับผู้ค้าส่ง หรือระหว่างผู้ค้าส่งกับร้านค้าปลีก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือเทคโนโลยีลิตและผู้ค้าส่ง หรือระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก ซึ่งสามารถเกี่ยวข้องกับบริการ เทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์
ฟีเจอร์อะไรที่ควรมองหาในโซลูชันธุรกิจขายส่งออนไลน์ B2B
- การตั้งราคาและมีลิสต์ราคาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละราย
- การค้นหาหรือการนำทาง
- แคตตาล็อกสินค้าธุรกิจขายส่งออนไลน์
- การเข้าสู่ระบบที่มีการป้องกัน
- การดูข้อมูลบัญชีลูกค้า
- ตัวเลือกการออกแบบและแบรนด์
- การจัดการที่ง่ายและประสบการณ์ลูกค้าที่ดี