การขายของบน Amazon อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้าของธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นด้วยสินค้าชิ้นแรก หรือเป็นแบรนด์ที่อยากขยายตลาดไปทั่วโลก
Amazon เป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีลูกค้ากว่า 300 ล้านคนมาซื้อของอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แถมยังเป็นแพลตฟอร์มที่คนรู้จักกันดี และกระบวนการสมัครเป็นผู้ขายก็เรียกได้ว่าไม่ซับซ้อน แต่ถึงอย่างน้น คุณก็อาจจะมีข้อสงสัยต่างๆ ก่อนจะลงมือสร้างบัญชี Seller Central ของคุณ ซึ่งเป็นบัญชีที่มาพร้อมชุดเครื่องมือและแหล่งข้อมูลในการจัดการธุรกิจของคุณ
ดังนั้น มาติดตามวิธีขายของบน Amazon ไปกับบทความนี้ ที่จะบอกเล่าเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่คุณต้องใช้ เพื่อให้ธุรกิจบน Amazon ของคุณประสบความสำเร็จ
วิธีขายของบน Amazon สำหรับมือใหม่
- วิจัยตลาด
- เลือกกลยุทธ์การขาย
- เขียนแผนธุรกิจ
- สร้างบัญชีผู้ขายบน Amazon
- เลือกวิธีจัดการคำสั่งซื้อ
- ลงรายการผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของคุณ
1. วิจัยตลาด
ศึกษาตลาดและวิเคราะห์คู่แข่งเพื่อช่วยตัดสินใจว่าจะขายอะไรบน Amazon เลือกสินค้าที่กำลังมาแรง มีกำไรดี และยังไม่เจอการแข่งขันสูงจนเกินไป คุณสามารถสำรวจตลาดบน Amazon และเลือกว่าจะลงทุนในสินค้าไหนเป็นอันดับแรกได้หลายวิธี อย่างเช่น
ดูรายการสินค้าขายดีบน Amazon
หน้าสินค้าขายดีของ Amazon เป็นแหล่งไอเดียที่ดีในการดูว่าสินค้าอะไรขายดีในขณะนี้ แม้ว่าการจะติดอันดับสินค้าขายดีต้องใช้เวลาพอสมควร (เพราะจัดอันดับจากยอดขาย) แต่คุณยังสามารถสังเกตเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคได้ จากนั้นก็นำมาคิดต่อยอดว่า คุณจะสามารถนำเสนอสินค้ายอดนิยม ในเวอร์ชันที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือเติมเต็มช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีใครทำได้หรือเปล่า

ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด
Jungle Scout เป็นเครื่องมือค้นหาคำหลักหรือคีย์เวิร์ดยอดนิยม ที่ช่วยตีวงสินค้าที่คุณสนใจให้แคบลงได้ เมื่อใช้เครื่องมือแบบนี้ คุณจะตัดสินใจจากข้อมูลจริง โดยการดูจำนวนการค้นหาของสินค้า ซึ่งจะช่วยให้คุณทราบถึงความสนใจของผู้บริโภค

อ่านรีวิวจาก Amazon
เมื่อผู้ซื้อรีวิวสินค้า พวกเขาอาจจะชี้ให้เราเห็นช่องว่างในตลาดโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นให้คุณลองอ่านรีวิวสินค้าบน Amazon เพื่อดูว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าต่างๆ คุณอาจจะพบปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กับสินค้าของคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่สินค้าของคุณสามารถแก้ได้ก็ได้นะ
ตรวจสอบข้อจำกัด
หลังจากที่ตัดสินใจเลือกสินค้าที่จะขายได้แล้ว อย่าลืมตรวจสอบรายการข้อจำกัดของสินค้าใน Amazon ด้วยล่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง คุณอาจไม่สามารถขายสินค้าบางประเภท เช่น ผลงานศิลปะ อุปกรณ์กล้องรักษาความปลอดภัย หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกรีไซเคิล และสินค้าบางประเภทก็จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติก่อนจึงจะสามารถขายได้ ดังนั้น อย่าลืมอ่านข้อกำหนดเกี่ยวกับประเภทสินค้าก่อนสร้างบัญชีของคุณล่ะ
2. เลือกกลยุทธ์วิธีขายของบน Amazon
การเลือกกลยุทธ์การขายของบน Amazon ขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณขายและทุนที่คุณมี ซึ่งอาจมีตัวเลือกต่าง ๆ ดังนี้
- การเก็งกำไรการค้าปลีก (Retail Arbitrage): ถ้าคุณซื้อสินค้าราคาต่ำกว่ามูลค่าตลาด แล้วขายในราคาที่สูงกว่าเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง นี่คือการขายแบบเก็งกำไรการค้าปลีก ผู้ขายสามารถหาสินค้าที่ลดราคาหรือสินค้าจัดโปรโมชันจากร้านค้าต่างๆ เช่น Makro, Big C, Lotus’s และ GO Wholesale แล้วนำมาขายบน Amazon ในราคาที่สูงขึ้น
- การทำแบรนด์ส่วนตัว (White Labeling): สินค้าที่ไม่มียี่ห้อ แต่ได้คุณเพิ่มแบรนด์หรือโลโก้ของคุณเข้าไปนั้นเรียกว่า สินค้าฉลากขาว (สินค้า White label) คุณไม่ต้องมีประสบการณ์ในการผลิตหรือออกแบบสินค้า แค่คุณต้องหาสินค้าที่มีคุณภาพและสร้างแบรนด์ให้น่าสนใจ
- การทำแบรนด์ส่วนตัว (Private Labeling): ผลิตภัณฑ์แบรนด์ส่วนตัว ผผลิตโดยผู้ผลิตภายนอกตามข้อกำหนดของผู้ขาย จากนั้นผู้ขายจะนำมาทำการตลาดและขายภายใต้แบรนด์ตัวเอง คุณสามารถหาสินค้าสำหรับทำแบรนด์ส่วนตัวได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Alibaba และ Thomasnet
- การดรอปชิป (Dropshipping): การดรอปชิปบน Amazon คือการขายโดยไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้า เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า คำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังบุคคลที่สาม ซึ่งจะเป็นผู้ที่จะจัดการคำสั่งซื้อและส่งสินค้าตรงถึงลูกค้า
3. เขียนแผนธุรกิจ
ก่อนขายของบน Amazon คุณต้องสร้างแผนธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ และใส่รายละเอียดองค์ประกอบที่สำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง การดำเนินการที่คุณสามารถใส่ลงไปได้ก็อย่างเช่น
- การทำรายการสินค้าที่จะขาย
- การตั้งราคาสินค้า
- การวางแผนการตลาด
- การตัดสินใจเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
- การทำแผนจัดการสินค้าคงคลัง
4. สร้างบัญชีผู้ขายบน Amazon
ในการสร้างบัญชีผู้ขายบน Amazon คุณต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเป็นผู้ขายประเภทไหน คือเป็นแบบบุคคลหรือแบบมืออาชีพ ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างทั้งสองประเภทนี้คือจำนวนยอดขายที่คุณคาดว่าจะทำได้

แผนบุคคล (Individual Plan) เป็นแผนจ่ายตามการใช้งานที่ให้คุณเข้าถึงเครื่องมือการจัดการรายการสินค้าและคำสั่งซื้อพื้นฐาน ผู้ขายที่เลือกแผนบุคคลจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการขายประมาณ 35 บาททุกครั้งที่ขายสินค้า ถ้าคุณขายสินค้าน้อยกว่า 40 ชิ้นต่อเดือน แผนบุคคลอาจเหมาะสำหรับคุณมากกวา แต่เมื่อคุณขายสินค้ามากกว่า 40 ชิ้นต่อเดือน แผนนี้จะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า จึงแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้แผนมืออาชีพแทน
แผนผู้ขายมืออาชีพ (Professional Seller Plan) เป็นแผนที่มีค่าบริการประมาณ 1,400 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมาพร้อมชุดเครื่องมือและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น โปรแกรมขายทั่วโลก รายงานธุรกิจขั้นสูง และสิทธิ์ในการได้ขึ้น Featured Offer บน Amazon
เมื่อคุณทำตามวิธีขายของบน Amazon จนถึงขั้นตอนการเลือกแผนเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาตั้งค่าบัญชีผู้ขายของคุณแล้ว ให้คุณเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้มากรอกลงในหน้าลงทะเบียน Seller Central
- ที่อยู่อีเมลธุรกิจ
- หมายเลขบัญชีธนาคารและรหัสธนาคาร
- บัตรเครดิตที่ใช้งานอยู่
- บัตรประจำตัวที่ออกโดยราชการ
- ข้อมูลภาษี
- หมายเลขโทรศัพท์

เมื่อบัญชีผู้ขาย Amazon ของคุณได้รับอนุมัติแล้ว ก็ถึงเวลาลงรายการสินค้าและเริ่มขายได้เลย
5. เลือกวิธีจัดการคำสั่งซื้อ
ในฐานะผู้ขาย คุณสามารถเลือกวิธีจัดการคำสั่งซื้อได้ 2 แบบ ได้แก่ การจัดการคำสั่งซื้อโดยผู้ขาย และ การจัดการคำสั่งซื้อโดย Amazon
การจัดการคำสั่งซื้อโดยผู้ขาย (FBM)
FBM คือการที่คุณดูแลทุกขั้นตอนเอง ตั้งแต่การจัดส่ง การคืนสินค้า ไปจนถึงการบริการลูกค้า เหมาะสำหรับสินค้าที่ผลิตตามสั่งหรือสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการจัดส่งนาน
การจัดการคำสั่งซื้อโดย Amazon (FBA)
FBA คือการส่งสินค้าของคุณไปยังศูนย์กระจายสินค้าของ Amazon (หรือที่เรียกว่า FC ซึ่งย่อมาจาก Fulfillment Center) แล้วให้ Amazon ดูแลการจัดส่งและการคืนสินค้าแทนคุณ คุณยังคงต้องบริหารสต็อกสินค้า และจะมีค่าธรรมเนียมในการเก็บสินค้าในคลัง รวมถึงค่าดำเนินการต่อคำสั่งซื้อที่ขายได้ โดยสินค้าจะยังเป็นของคุณจนกว่าลูกค้าจะได้รับ
ในระบบนี้ Amazon จะเป็นผู้รับชำระเงินจากลูกค้าและโอนเงินให้คุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้บริการดูแลลูกค้าของ Amazon ที่ช่วยตอบคำถาม ดูแลการคืนสินค้า และจัดการเรื่องการคืนเงินให้กับลูกค้า
6. ลงรายการผลิตภัณฑ์ชิ้นแรก
วิธีขายของบน Amazon ขั้นตอนสุดท้าย คุณสามารถลงรายการได้ 2 วิธี
วิธีแรกนั้นเป็นวิธีสำหรับสินค้าที่มีขายอยู่แล้วบน Amazon สินค้าเหล่านี้จะมีรหัส ASIN (Amazon Standard Identification Number) อยู่แล้ว และรายการสินค้าของคุณจะถูกรวมเข้ากับหน้ารายละเอียดผลิตภัณฑ์ ที่มีผู้ขายรายอื่นเสนอขายสินค้าชนิดเดียวกัน
ส่วนวิธีที่สองเป็นวิธีสำหรับสินค้าที่ขายเป็นครั้งแรกบน Amazon วิธีนี้เหมาะสำหรับสินค้าที่คุณเป็นเจ้าของแบรนด์เอง และยังไม่มีรายการสินค้านั้นๆ อยู่ในระบบของ Amazon
ทีนี้มาลองดูตัวอย่างกัน เอาเป็นสินค้าที่มีขายอยู่แล้วบน Amazon สมมติว่าคุณกำลังจะขายแก้วเก็บอุณหภูมิ ที่คุณซื้อมาในราคาส่ง และมีรายการสินค้าชิ้นนี้อยู่บน Amazon แล้ว
- วิธีขายของบน Amazon สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ คัดลอกรหัส ASIN จากส่วน “รายละเอียดผลิตภัณฑ์” ของรายการสินค้าที่มีอยู่
- ไปที่ Seller Central คลิกที่ Catalog และเลือก Add Products ซึ่งจะนำคุณไปยังแถบค้นหาที่คุณสามารถวาง ASIN ที่คัดลอกมาได้ จากนั้นรายการสินค้าจะปรากฏขึ้นมา จากนั้นใช้เมนูแบบเลื่อนลงเพื่อระบุสภาพสินค้าของคุณ (ใหม่, ใช้แล้ว - สภาพดี, ใช้แล้ว - สภาพดีมาก ฯลฯ)
- คลิก “Sell this product” ตั้งราคา เลือกตัวเลือกการจัดส่ง (FBM หรือ FBA) และทำตามคำแนะนำถัดไป คุณสามารถระบุ SKU สำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณได้ จากนั้นก็คลิก “Save and finish” รายการสินค้าของคุณจะปรากฏในหน้า Manage Inventory ของบัญชี Seller Central
ทีนี้ มาดูวิธีการขายของที่ไม่เคยมีมาก่อนบน Amazon เช่น รองเท้าส้นไม้หนังนกอีมูแบรนด์ของคุณเอง คุณจะต้องลงขายด้วยวิธีนี้
- จากแดชบอร์ด Seller Central ให้คลิก Add a product จากนั้นเลือก I’m adding a product not sold on Amazon
- เลือกหมวดหมู่สินค้า แล้วกรอกรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ชื่อสินค้า ราคา รายละเอียดสินค้า รูปภาพ และตัวเลือกการจัดส่ง
- เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้ว คลิก “Save and finish” รายการสินค้าของคุณจะถูกส่งไปตรวจสอบ หากผ่านการอนุมัติ Amazon จะกำหนด ASIN ให้กับสินค้า และเริ่มแสดงรายการสินค้าบนแพลตฟอร์ม คุณสามารถดูรายการสินค้าของคุณได้จากหน้า “Manage Inventory”
เมื่อหน้ารายละเอียดสินค้าของคุณปรากฏขึ้นมาแล้ว ลูกค้าก็จะสามารถค้นหาและซื้อสินค้าได้ หากสินค้าของคุณน่าสนใจและมีกลยุทธ์การตลาดที่ดี ยอดขายก็จะเริ่มเข้ามาเอง
วิธีสร้างลิสต์สินค้าเพื่อขายของบน Amazon ให้ประสบความสำเร็จ
- ตั้งชื่อสินค้าให้ตรงจุด
- อัปโหลดภาพผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน
- เขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ละเอียด
- เพิ่มตัวเลือกสินค้าที่แตกต่างกัน
การสร้างรายการสินค้าที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายบน Amazon หน้ารายละเอียดสินค้าคือจุดสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ข้อมูลที่คุณใส่เข้าไปจะช่วยลูกค้าตัดสินใจว่าสินค้าของคุณตอบโจทย์พวกเขาหรือไม่ ตัวอย่างที่ดีคือแบรนด์เทียนหอม Homesick ซึ่งทำหน้าสินค้ามาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ลองมาดูกันว่าสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีมีอะไรบ้าง

1. ตั้งชื่อสินค้าให้ตรงจุด
วิธีขายของบน Amazon ให้ประสบความสำเร็จ ชื่อสินค้าของคุณควรดึงดูดความสนใจของลูกค้าและทำให้พวกเขารู้ว่ามาถูกที่แล้ว ชื่อสินค้าที่ดีและมีคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสามารถเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) จากการค้นหาและช่วยให้สินค้าของคุณติดอันดับ SEO บนแพลตฟอร์มของ Amazon ได้ดีขึ้น
Amazon กำหนดให้ชื่อสินค้ายาวสูงสุดได้ 200 ตัวอักษร แต่ Amazon Seller Central แนะนำให้ใช้ไม่เกิน 80 ตัวอักษร เพราะชื่อที่สั้นและกระชับจะอ่านง่ายกว่าโดยเฉพาะบนมือถือ ซึ่งมักจะแสดงชื่อสินค้าแบบตัดคำ และเนื่องจากผู้ใช้ Amazon กว่า 50% เข้าถึงแพลตฟอร์มผ่านมือถือ การทำให้ชื่อสินค้าอ่านง่ายและเข้าใจได้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ทุกคำที่ใช้ในชื่อสินค้าจะถูกนำไปใช้ในการค้นหา ดังนั้นควรใส่ข้อมูลสำคัญให้ครบ เช่น ชื่อแบรนด์ (เช่น Homesick), ประเภทสินค้า (Scented Candle), สไตล์ (Hawaii), คุณสมบัติ (Scents of Pineapple, Coconut) และ ขนาดบรรจุภัณฑ์ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าผลิตภัณฑ์ตรงกับความต้องการของพวกเขาหรือไม่

2. อัปโหลดภาพผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน
ภาพหลักของสินค้าควรแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสินค้านั้นคืออะไร ส่วนรูปเพิ่มเติมสามารถใช้เพื่อโชว์มุมอื่นๆ ของสินค้า หรือหากเหมาะสม อาจใช้ภาพไลฟ์สไตล์เพื่อช่วยให้ลูกค้ามองเห็นการใช้งานจริงของสินค้าได้ดียิ่งขึ้นด้วยก็ได้

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มวิดีโอเพื่อให้ลูกค้าได้ดูสินค้าของคุณอย่างละเอียดมากขึ้น ลูกค้าสามารถเลื่อนดูสื่อทั้งหมด เพื่อดูว่าเป็นสินค้าที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาหรือไม่ และอย่าลืมที่จะใช้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดี เพื่อให้ลูกค้าสามารถซูมดูรายละเอียดเล็กๆ ของสินค้าได้อย่างชัดเจน
3. เขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด
วิธีขายของบน Amazon อย่างมีกลยุทธ์คือการให้ความสำคัญกับคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแสดงรายละเอียดและประโยชน์ของสินค้าของคุณ แบรนด์ Homesick จะอธิบายผลิตภัณฑ์เป็นหัวข้อย่อยๆ โดยเน้นข้อมูลสำคัญที่ผู้ซื้อจะสนใจ เช่น ระยะเวลาในการเผา กลิ่น และประเภทของขี้ผึ้ง

4. เพิ่มตัวเลือกสินค้าให้หลากหลาย
การมีตัวเลือกหลากหลายของสินค้าเป็นอีกหนึ่งวิธีขายของบน Amazon ที่จะช่วยให้คุณแสดงสินค้ารุ่นเดียวกันในขนาด สี และสไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าแต่ละรุ่นของสินค้าจะมีหมายเลข ASIN และหน้ารายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่การมีตัวเลือกสินค้าจะทำให้ลูกค้าสามารถสลับระหว่างตัวเลือกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย
ค่าใช้จ่ายในการขายของบน Amazon
เมื่อคุณเริ่มขายบน Amazon จะมีค่าธรรมเนียมบางประการที่คุณควรทราบ เพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้มักถูกเรียกเก็บบ่อย และอาจส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ของช่องทางการขายของคุณ ถึงค่าธรรมเนียมที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมทั้งหมดที่มี แต่เป็นค่าธรรมเนียมที่พบได้บ่อย
- ค่าธรรมเนียมการแนะนำ: Amazon จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นสำหรับการขายบนแพลตฟอร์ม โดยค่าธรรมเนียมนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละหมวดหมู่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15% แต่ก็อาจจะอยู่ระหว่าง 8% ถึง 45% ขึ้นอยู่กับหมวดหมู่สินค้านั้นๆ
- ค่าธรรมเนียมการปิดการขาย: ค่าธรรมเนียมนี้เป็นค่าธรรมเนียมที่ประมาณ 63 บาท สำหรับสินค้าที่อยู่ในหมวดสื่อ (อาทิ หนังสือ ดีวีดี เพลง ซอฟต์แวร์ วิดีโอเกม คอนโซลวิดีโอเกม และอุปกรณ์เสริมสำหรับวิดีโอเกม)
- ค่าธรรมเนียม FBA: สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวิธีขายของบน Amazon อีกข้อคือ หากคุณเลือกใช้ FBA คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่ครอบคลุมการหยิบสินค้า การบรรจุ การจัดส่ง และบริการลูกค้า ค่าใช้จ่ายนี้จะขึ้นอยู่กับหมวดหมู่ ขนาด และน้ำหนักของสินค้าของคุณ แต่จะเริ่มต้นที่ไม่กี่สิบบาท
- ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของ Amazon: Amazon ยังจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจัดเก็บสินค้าของคุณในศูนย์จัดการคำสั่งซื้อ (FC) ของ Amazon โดยจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้ามากกว่า 181 วัน นอกจากนี้ คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับสินค้าที่ไม่ได้ขาย ซึ่ง Amazon ส่งคืนให้คุณ ทิ้ง หรือขายทอดตลาด
หากคุณต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมทั้งหมด สามารถอ่านคู่มือขายของบน Amazon ฉบับเต็มได้เลย
เคล็ดลับวิธีขายของบน Amazon
- กระตุ้นให้ลูกค้ารีวิวสินค้า
- ใช้โฆษณาสินค้าสปอนเซอร์
- ใช้ประโยชน์จากโปรโมชัน
- เพิ่มการเข้าชมจากภายนอก
- ตั้งราคาให้ถูกต้อง
Amazon มอบโอกาสพิเศษให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในการขายสินค้าต่อกลุ่มผู้ชมที่กว้างขึ้น ช่วยเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ไปพร้อมกัน และคือเคล็ดลับสำคัญที่จะพาคุณไปถึงเป้าหมาย
กระตุ้นให้ลูกค้ารีวิวสินค้า
รีวิวสามารถเป็นปัจจัยที่ตัดสินใจในการซื้อ แม้ว่าสินค้าจะมีราคาสูงกว่าสินค้าคู่แข่งก็ตาม วิธีหนึ่งในการกระตุ้นให้ลูกค้ารีวิวสินค้าคือ การส่งอีเมลติดตามหลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้าของคุณ
ผู้ขายบน Amazon สามารถส่งอีเมลติดตามอัตโนมัติให้กับลูกค้าเกี่ยวกับการสั่งซื้อเฉพาะ ซึ่งมีกฎเกณฑ์ดังนี้ แต่สรุปคร่าวๆ ได้ว่าคุณจะไม่สามารถ
- ส่งอีเมลที่มีข้อความทางการตลาดหรือโปรโมชั่น
- ใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่ Amazon
- ขอหรือจูงใจให้รีวิวในเชิงบวก
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถส่งอีเมลขอให้ลูกค้ารีวิวสินค้าได้ ตราบใดที่คุณไม่ได้ขอให้รีวิวในเชิงบวกโดยเฉพาะ
มีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำการตลาดผ่านอีเมลอยู่มากมาย แต่ควรส่งอีเมลไม่เกิน 2 ฉบับ โดยอีเมลหนึ่งส่งในช่วงยืนยันคำสั่งซื้อหรือการจัดส่ง และอีเมลส่งหลังการซื้อเมื่อสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว
ใช้โฆษณาสินค้าสปอนเซอร์
Amazon มีแพลตฟอร์มโฆษณาที่แข็งแกร่งที่ช่วยให้คุณโปรโมทสินค้าของคุณให้กับลูกค้าบน Amazon โดยใช้ Amazon Sponsored Product Ads ซึ่งเป็นรูปแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) ที่ช่วยให้คุณโปรโมทสินค้าบน Amazon ได้ การวางโฆษณาบนเดสก์ท็อปสามารถอยู่ด้านบน ด้านข้าง หรือด้านล่างของผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบนหน้ารายละเอียดสินค้า

สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อคุณทำโฆษณาตามวิธีขายของบน Amazon PPC
- เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายอัตโนมัติ: สิ่งนี้ช่วยให้ Amazon ใช้อัลกอริธึมการค้นหาที่ทรงพลัง เพื่อค้นหาและแนะนำรายการคำหลักที่เป็นไปได้ทั้งหมดสำหรับคุณ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งราคาคงที่สำหรับทุกคำหลักที่ค้น แต่เป้าหมายของคุณคือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่ทำงานได้ดีที่สุด แล้วเลือกใช้คำที่ได้ผลมากที่สุด
- ประเมินแคมเปญการตั้งเป้าหมายอัตโนมัติ: เมื่อคุณมีข้อมูลของแคมเปญมาแล้วอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ให้ประเมินผลเพื่อหาคำค้นหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด แล้วย้ายคำเหล่านั้นไปยังแคมเปญที่ตั้งเป้าหมายแบบแมนนวล ซึ่งคุณสามารถโฟกัสและปรับราคาให้กับคำที่ตรงกับสินค้าของคุณ
- ปรับแคมเปญแบบแมนนวล: ราคาที่แตกต่างกันอาจทำให้ได้ตำแหน่งและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรทดลองต่อไปจนกว่าคุณจะเจอวิธีที่ทำงานได้ดีสำหรับคุณ
- ใช้ข้อมูลเชิงลึกในการปรับแต่งหน้ารายละเอียดสินค้า: เมื่อคุณปรับกลยุทธ์ PPC ของคุณไปเรื่อยๆ คุณจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ซึ่งคุณสามารถเพิ่มคำเหล่านั้นในหน้ารายละเอียดสินค้า เพื่อช่วยให้คุณดึงดูดการเข้าชมแบบออร์แกนิคได้มากขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินโฆษณา
ใช้ประโยชน์จากโปรโมชัน
การใช้โปรโมชั่นสามารถช่วยให้คุณสร้างยอดขายและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้ หนึ่งในโปรโมชั่นที่ได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์ม Amazon คือ Lightning Deal (โปรไฟไหม้) ซึ่งเป็นการขายสินค้าแบบด่วนที่มีการแสดงในหน้าข้อเสนอพิเศษของ Amazon ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่มีผู้เข้าชมบ่อยที่สุดบน Amazon
Lightning Deals มีประโยชน์ดังนี้
- เพิ่มการมองเห็นสินค้าของคุณ โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญอย่าง Prime Day และวันหยุด
- นำไปสู่การรีวิวออนไลน์ที่มากขึ้น เนื่องจากสินค้ามีการเข้าถึงและยอดขายที่เพิ่มขึ้น
- กระตุ้นการซื้อหลังจากโปรโมชั่นสิ้นสุด โดยการขายสินค้ามากขึ้นจะช่วยปรับอันดับการค้นหาบนหน้าเครื่องมือค้นหา
- ทดสอบสินค้ารายใหม่และดึงดูดลูกค้าใหม่สำหรับการซื้อในอนาคต
Lightning Deals จะปรากฏในส่วน "See All Recommendations" บนหน้าจอใน Seller Central โดยจะมีการเสนอขายสินค้าในหลายหมวดหมู่ เช่น สุขภาพและการดูแลตัวเอง บ้านและครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า แฟชั่น ของชำ และอีกมากมาย

เพิ่มการเข้าชมจากภายนอก
หลายแบรนด์มักจะใช้ช่องทางการตลาดภายนอกเพื่อดึงคนมาที่ร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง แม้ว่าโฆษณาเหล่านี้จะช่วยส่งผู้ชมไปยังเว็บไซต์ของคุณ แต่กลยุทธ์เหล่านี้ก็สามารถนำมาใช้ในการโปรโมตสินค้าบน Amazon ได้เช่นกัน
หากคุณร่วมงานกับบล็อกเกอร์และอินฟลูเอ็นเซอร์ คุณจะสามารถขยายการเข้าถึงได้มากขึ้นผ่านโปรแกรมอย่าง Amazon Associates และ Amazon Influencers รวมถึงการใช้แพลตฟอร์มภายนอกที่ช่วยเชื่อมต่อกับอินฟลูเอ็นเซอร์ เช่น Shopify Collabs เป็นต้น
นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างรหัสส่วนลดเพื่อแชร์ผ่านช่องทางภายนอก เช่น โซเชียลมีเดียของคุณ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าบน Amazon ได้อีกด้วย
ตั้งราคาให้ถูกต้อง
การหากลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมสำหรับสินค้าของคุณสำคัญมากในตลาดของ Amazon เพราะคุณจะต้องแข่งขันกับผู้ขายอื่นๆ มาดูสิ่งที่คุณต้องคำนึงเมื่อตั้งราคาสินค้ากัน
นโยบายการตั้งราคาอย่างเป็นธรรมของ Amazon Marketplace
ตามนโยบายการตั้งราคาที่เป็นธรรมของ Amazon Marketplace คุณไม่สามารถตั้งราคาที่ "ทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า" ได้ ตัวอย่างเช่น กช่น การตั้งราคาสินค้าสูงกว่าราคาที่เคยเสนอในอดีตมากเกินไป ไม่ว่าจะบน Amazon หรือที่อื่น ๆ การขายชุดสินค้าหลายชิ้นในราคาที่สูงต่อหน่วยกว่าการขายแยก หรือการเพิ่มค่าจัดส่งที่เกินควร ดังนั้น คุณต้องตั้งราคาสินค้าอย่างยุติธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกระงับบัญชี
ทำให้การตั้งราคาเป็นอัตโนมัติ
เครื่องมือใหม่ๆ อย่าง Automate Pricing ของ Amazon บน Seller Central ช่วยให้คุณตั้งราคาได้โดยอัตโนมัติ โดยคุณสามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ สำหรับการปรับราคาสินค้าให้แข่งขันได้ ซึ่งเครื่องมือนี้สามารถปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดได้อย่างง่ายดาย

เสริมความแกร่งให้ร้าน Shopify ของคุณด้วยการขายบน Amazon
ถ้ามองเผินๆ Amazon อาจดูเหมือนเป็นคู่แข่งของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ ด้วยตลาดที่ใหญ่และผู้ชมจำนวนมหาศาล และเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ผู้บริโภคใช้ค้นหาสินค้า แต่ถ้าคุณมอง Amazon เป็นโอกาสที่สามารถช่วยคุณขยายธุรกิจได้ คุณก็จะเห็นว่า Amazon สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการทำเงินออนไลน์ได้จริงๆ การขายบน Amazon จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับเจ้าของร้าน Shopify
ร้านค้า Shopify ของคุณคือฐานที่มั่นของคุณ ส่วนตลาดระดับโลกอย่าง Amazon คือโอกาสที่คุณจะเข้าถึงผู้ชมใหม่ๆ จำนวนมหาศาล การวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ การทดลอง และความพยายามจริงจังจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการขายบน Amazon
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีขายของบน Amazon
ขายของบน Amazon ฟรีหรือไม่
Amazon คิดค่าธรรมเนียมการแนะนำสินค้าสำหรับทุกออเดอร์ที่ขายได้ โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่สินค้า โดยมีตั้งแต่ 8% ถึง 45%
วิธีขายของบน Amazon อย่างถูกต้อง ต้องมีทุนเท่าไหร่ตอนเริ่มต้น
การสมัครบัญชีผู้ขายบน Amazon ไม่มีค่าใช้จ่ายหากคุณเลือกแผนแบบบุคคล (Individual) โดยคุณจะจ่ายค่าธรรมเนียมก็ต่อเมื่อขายสินค้าได้เท่านั้น แต่หากเลือกแผนแบบมืออาชีพ (Professional) จะมีค่าธรรมเนียมรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท
สามารถขายของบน Amazon จากที่บ้านได้หรือไม่
ได้ คุณสามารถสร้างธุรกิจออนไลน์จากที่บ้านและขายสินค้าบน Amazon ได้ เช่นเดียวกับผู้ขายอีคอมเมิร์ซจำนวนมาก
สินค้าที่น่าขายบน Amazon มีอะไรบ้าง
- ของเล่นและเกม
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- วิดีโอเกม
- หนังสือ
- เสื้อผ้าและรองเท้า
- เครื่องประดับ