หลายธุรกิจเกิดจากไอเดียที่ดีเกินกว่าจะมองข้าม ทั้งการประดิษฐ์ใหม่ๆ การปรับเปลี่ยนสินค้าคลาสสิกที่ไม่เหมือนใคร ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยม ทั้งหมดนี้ต่างก็มีศักยภาพในตลาด และไอเดียด้านผลิตภัณฑ์มักจะเป็นก้าวแรกๆ สู่การเป็นผู้ประกอบการ
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความปรารถนาที่จะเป็นผู้ประกอบการเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะมีไอเดียสินค้า? คุณจะหาผลิตภัณฑ์มาขายได้ยังไงหากต้องเริ่มต้นจากศูนย์? กระบวนการนี้อาจดูน่ากลัว โดยเฉพาะเมื่อดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นไหนต่างก็มีขายอยู่แล้วบนโลกออนไลน์
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน แสดงให้เห็นว่ายังมีพื้นที่ในตลาดรองรับไอเดียของคุณ และด้วยการทำการวิจัยผลิตภัณฑ์ ติดตามเทรนด์ และประเมินความต้องการของลูกค้า คุณสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้และสร้างแบรนด์ได้ และในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีค้นหาผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมายในการขาย
การวิจัยผลิตภัณฑ์ คืออะไร?
การวิจัยผลิตภัณฑ์ หมายถึงกระบวนการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และตลาดปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะของสินค้านั้นๆ รวมถึงการวิจัยเกี่ยวกับแบรนด์ที่ขายผลิตภัณฑ์ (คู่แข่ง) ลูกค้า และภาพรวมของธุรกิจ นอกจากนี้ การวิจัยผลิตภัณฑ์ยังเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบคำถามเฉพาะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น ความต้องการในตลาด ความสามารถในการทำกำไร และช่องทางการขายที่ดีที่สุด
การวิจัยผลิตภัณฑ์มีประโยชน์สำหรับธุรกิจใหม่ที่กำลังมองหาสินค้าชิ้นแรก และยังเป็นเครื่องมือที่มีค่าในการเติบโตของแบรนด์ มันสามารถช่วยยืนยันความสามารถในการเพิ่มสินค้าหรือหมวดหมู่ใหม่ๆ ด้วยแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์หลีกเลี่ยงกับดัก และก้าวนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ
หาสินค้ามาขายได้ง่ายๆ จาก 16 ไอเดียการวิจัยผลิตภัณฑ์
- แก้ไขปัญหา
- เห็นแนวโน้มเทรนด์ล่วงหน้า
- ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเฉพาะ
- ครอบคลุมตลาดที่ไม่ได้บริการ
- ความชอบส่วนตัว
- ประสบการณ์จากอาชีพคุณ
- ใช้โอกาสจากสินค้าที่มียอดค้นหาบนอินเตอร์เน็ต
- ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย
- เช็กเทรนด์จากตลาดออนไลน์
- ปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่
- วิจัยผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง
- ตอบโจทย์ความต้องการด้านความยั่งยืน
- เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและงานแฟร์
- พิจารณาการปรับแต่ง
- วิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ
- รับแรงบันดาลใจจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
1. แก้ไขปัญหา
ผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้หลายรายการในตลาดมักมุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาของลูกค้า และในการประเมินความต้องการ ให้คุณลองใส่ใจต่อความท้าทายที่ผู้คนมีต่อผลิตภัณฑ์รอบๆ ตัว โซเชียลมีเดียและเว็บไซต์รีวิวของลูกค้าเป็นสถานที่ที่ดีในการค้นหาแนวคิด
การแก้ไขปัญหาไม่จำเป็นต้องเป็นการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด บางครั้งคุณอาจสามารถระบุช่องว่างในแนวทางของคู่แข่งต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้น หรือรูปแบบของการบริการลูกค้าที่ไม่ดีในอุตสาหกรรมเฉพาะ
คุณจะสามารถปรับปรุงไอเดียที่มีอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาลูกค้าได้อย่างไร? ในขณะที่ Gloria Hwang สร้างแบรนด์ Thousand เธอพบว่ามีนักปั่นจักรยานหลายคนที่ไม่สวมหมวกกันน็อค และอ้างว่ารูปลักษณ์เป็นเหตุผลหนึ่ง “ถ้าคุณสามารถทำหมวกกันน็อคที่ผู้คนต้องการสวมใส่ได้ คุณสามารถช่วยชีวิตคนได้” เธอกล่าว แบรนด์ของ Gloria มุ่งเน้นที่รูปลักษณ์และความปลอดภัย เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันใหม่
2. เห็นแนวโน้มเทรนด์ล่วงหน้า
การรับรู้เทรนด์ที่เกิดขึ้นเป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจใหม่ มันช่วยให้คุณตั้งตัวเป็นผู้นำก่อนที่คนอื่นจะเข้ามาในโอกาสนั้น อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว เมื่อบางสิ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเทรนด์ นั่นเป็นเพราะสิ่งนั้นกำลังจะขาดตลาด
เป้าหมายของคุณคือหาสินค้าที่กำลังมาแรงให้เจอ ก่อนที่จะกลายเป็นกระแสหลัก
นี่คือวิธีกาจับตาดูผลิตภัณฑ์ที่มีเทรนด์ เพื่อให้คุณสามารถดำเนินการวิจัยและหาสินค้าได้ทันท่วงที
- โซเชียลมีเดีย: นี่อาจเป็นการสแกนแฮชแท็กยอดนิยม และติดตามอินฟลูเอนเซอร์ในแนวทางเฉพาะ แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มีฟังก์ชั่นหรือส่วนที่เป็นเทรนด์ที่คุณสามารถดูข้อมูลได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้เครื่องมือ Social Listening เพื่อระบุและติดตามเทรนด์ในระยะยาว
- Google Trends: ที่นี่คุณสามารถดูความนิยมของเทรนด์ในช่วงเวลาต่างๆ เช่นเดียวกับแฟชั่น เทรนด์มักจะวนกลับมา และ Google Trends อาจช่วยให้คุณคาดการณ์คลื่นลูกถัดไปได้
- สิ่งพิมพ์ทางการค้า: สิ่งพิมพ์ในสาขาของคุณอาจมีข้อมูลเชิงลึกหรือการคาดการณ์เทรนด์จากการวิจัยและเทรนด์ในอดีต
- เหตุการณ์ปัจจุบันและวัฒนธรรมป๊อป: โอกาสผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรอาจพบได้จากการติดตามสื่อเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก เทรนด์มักเกิดจากรายการโทรทัศน์ยอดนิยมหรือเหตุการณ์สำคัญในโลก
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่สามารถกระตุ้นความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยี พิจารณาการเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ “อัจฉริยะ” ที่ออกสู่ตลาดหลังจากความก้าวหน้าใน AI กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลัก\
Miguel Leal ระบุแนวโน้มในอุตสาหกรรมหนึ่งและนำมาบรรจุใหม่ในอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง แบรนด์ Somos ของเขาพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารเม็กซิกันในซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้พัฒนาตามแบบในร้านอาหารเม็กซิกันที่เขาชื่นชอบ ดังนั้น Miguel จึงนำเทรนด์จากร้านอาหารยอดนิยมเข้าไปยังร้านขายของชำ
3. ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเฉพาะ
เมื่อผู้คนมีความชอบในงานอดิเรกหรือความสนใจเฉพาะ พวกเขามักจะมีแนวโน้มที่จะลงทุน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจึงมีความสำคัญ และงานนี้จะง่ายขึ้นหากคุณขายให้กับกลุ่มที่คุณเป็นส่วนหนึ่ง เช่น คุณเล่นพิคเคิลบอล รือเข้าร่วมกลุ่มถักนิตติ้งประจำสัปดาห์หรือไม่? พูดคุยกับผู้ที่มีความสนใจเดียวกัน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับความชอบและปัญหาที่พวกเขามี
การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเฉพาะ อาจหมายถึงตลาดที่เล็กลง แต่หากคุณทำให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และตลาด อาจเป็นตลาดที่มีความภักดีสูง วิธีนี้อาจมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า หากคุณพบกลุ่มเฉพาะที่ไม่ได้รับการบริการจากผลิตภัณฑ์ในตลาดปัจจุบัน
Solé Bicycles ไม่เพียงแต่ขายให้กับนักปั่นจักรยาน แบรนด์นี้ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มองว่าการปั่นจักรยานเป็น “ผืนผ้าใบเคลื่อนที่” เพื่อแสดงถึงบุคลิกและสไตล์ นั่นคือเหตุผลที่ตัวเลือกสีที่โดดเด่นมีความสำคัญต่อข้อเสนอของ Solé และภาพลักษณ์ที่มีแรงบันดาลใจในไลฟ์สไตล์เป็นส่วนสำคัญของการตลาด
4. ครอบคลุมตลาดที่ไม่ได้บริการ
ตลาดที่ไม่ได้รับการบริการ ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่งานอดิเรกที่มีความสนใจเฉพาะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มประชากรทั้งหมดที่ถูกมองข้ามโดยแบรนด์ในตลาดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น กลุ่ม LGBTQ+ อาจพบว่าธุรกิจสินค้าสำหรับงานแต่งไม่ได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาเสมอไป โดยมักเสนอผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับการแต่งงานระหว่างเพศตรงข้าม การค้นหาช่องว่างเช่นนี้สามารถช่วยให้คุณค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ
Yelitsa Jean-Charles ระบุช่องว่างในตลาดของเล่น สำหรับตุ๊กตาสำหรับเด็กผิวดำผมหยิก เธอออกแบบ Healthy Roots Dolls เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่อยากได้ในวัยเด็ก เป็นสินค้าที่สอนเด็กหญิงให้รักและจัดแต่งทรงผมของตนเอง “เมื่อคุณถูกมองข้ามโดยสื่อกระแสหลัก คุณต้องกลายเป็นผู้แก้ปัญหา” Yelitsa กล่าว
5. ความชอบส่วนตัว
การเลือกกลุ่มเฉพาะตามความสนใจของคุณเอง เป็นหนึ่งในวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดในการเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจหลายแห่งเกิดจากงานอดิเรก รวมถึงผู้ผลิตที่ขยายงานฝีมือของตนเพื่อขายสินค้าแฮนด์เมดออนไลน์
ความเหมาะสมระหว่างผู้ก่อตั้งและตลาดมีความสำคัญ เพราะคุณจะมีแรงจูงใจมากขึ้นและสามารถเอาชนะอุปสรรคในการสร้างธุรกิจได้ดีกว่า หากคุณมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่คุณขาย และคุณมีแนวโน้มที่จะเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เมื่อคุณเป็นตัวแทนของบุคลิกภาพของผู้ซื้อ
อาชีพของ Sarah Chisholm ในฐานะนักเต้นสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน นั่นคือเมื่อเธอหันมาสนใจความงานอดิเรกอีกอย่าง เพื่อสร้างเส้นทางใหม่ให้กับตัวเอง เธอเปลี่ยนความรักในอาหารให้เป็น Wild Rye Baking Magic แบรนด์ที่ขายส่วนผสมสำหรับเค้ก ฟรอสติ้ง และแพนเค้กระดับพรีเมียม โดยอาศัยความรู้และการติดต่อที่มีอยู่ ซึ่ง Sarah สร้างธุรกิจของเธอจากความชอบ “ไม่มีใครจะรู้จักคอมมูนิตี้ของคุณได้ดีไปกว่าคุณ” เธอกล่าว
6. ประสบการณ์จากอาชีพคุณ
ประสบการณ์ในอดีต สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในธุรกิจในอนาคตได้มาก คุณลาออกจากอาชีพโค้ชหรือไม่? ลองหาผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ชมเป็นนักกีฬาอาชีพมือสมัครเล่น หากคุณมีประสบการณ์ในการสอน สร้างชุดหลักสูตรเพื่อขายออนไลน์ เพราะหากคุณมีประสบการณ์ คุณจะสามารถสร้างความไว้วางใจได้ง่ายขึ้น
RetroSupply เป็นแบรนด์ที่ขายฟอนต์และการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากยุคเก่า สำหรับนักออกแบบกราฟิกและนักวาดภาพ ผู้ก่อตั้ง Dustin Lee เปลี่ยนจากการทำร้านออกแบบเว็บไซต์ฟรีแลนซ์มาเป็นการสร้างรายได้แบบพาสซีฟผ่านผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของ RetroSupply
7. ใช้โอกาสจากสินค้าที่มียอดค้นหาบนอินเตอร์เน็ต
การได้รับการเข้าชมแบบออร์แกนิกจากเครื่องมือค้นหาเป็นวิธีที่ดีในการเติบโตธุรกิจ แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงและอัลกอริธึมของ Google ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ SEO อาจเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเจ้าของธุรกิจใหม่
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้การวิจัยคีย์เวิร์ด เพื่อค้นหาโอกาสที่มีปริมาณการค้นหาสูง (หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ) และการแข่งขันต่ำ (หมายความว่ามันจะง่ายกว่าที่จะจัดอันดับสำหรับคำนี้) มีเครื่องมือสำหรับวิจัยคีย์เวิร์ดและส่วนขยายเบราว์เซอร์หลายตัวที่คุณสามารถลองใช้ ซึ่งบางตัวก็ใช้ฟรีได้
เครื่องมืออย่าง Ahrefs สามารถช่วยคุณทำการวิจัยคำค้น
อย่าลืมว่า กูเกิล ไม่ใช่ที่เดียวที่ผู้ใช้ค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลังกลายเป็นสถานที่ที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Alpha และ Gen Z ที่หันไปหาการค้นหาสินค้าบน Pinterest, Instagram และ TikTok ทั้งหมดนี้ต่างสามารถเป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมสำหรับไอเดียสินค้า
8. ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย
ในขณะที่คุณได้เรียนรู้ว่าโซเชียลมีเดียสามารถเป็นสถานที่ที่ดีในการมองหาเทรนด์และทำการวิจัยคำค้น มันยังเป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับการทดสอบแนวคิดของคุณ เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ชม และได้รับแรงบันดาลใจ
Mush Studios ผู้ร่วมก่อตั้ง Jacob Winter พบแนวคิดธุรกิจของเขาเมื่อวิดีโอการทำพรมของเขาใน TikTok กลายเป็นไวรัล ความสนใจในสิ่งที่เขาสร้างบอกเขาว่ามีตลาดสำหรับงานอดิเรกของเขา เนื่องจากเขาได้สร้างผู้ชมในฐานะผู้สร้างแล้ว เขาจึงเข้าใจวิธีการพูดคุยกับพวกเขาและขายให้กับพวกเขา
9. เช็กเทรนด์จากตลาดออนไลน์
ในขณะที่คุณสามารถขายบน Amazon, Etsy, และ eBay ควบคู่ไปกับร้าน Shopify คุณยังสามารถใช้ตลาดเหล่านี้เพื่อการวิจัยได้โดยเฉพาะ ซึ่งในแต่ละแห่ง คุณจะพบรายการที่ออกแบบมาสำหรับผู้ซื้อซึ่งสามารถเปิดเผยข้อมูลเชิงลึก และด้านล่างนี้คือตัวอย่างบางส่วน
- Amazon Best Sellers
- Amazon Most Wished For
- Amazon Movers & Shakers
- Etsy Most Wanted
- Etsy Best Selling Items
- Etsy Most Popular Item
- Trending on eBay
เพื่อค้นหาโอกาสที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ลองใช้เครื่องมืออย่าง Jungle Scout ซึ่งช่วยให้คุณระบุโอกาสโดยการตรวจสอบข้อมูลที่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดและผู้ขายที่ได้รับความนิยม
10. ปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่
รีวิวจากลูกค้าอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าในการค้นหาสินค้าที่จะขาย นั่นเป็นเพราะรีวิวช่วยเปิดเผยปัญหาของลูกค้ากับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ เมื่อคุณได้จำกัดลงไปที่ผลิตภัณฑ์ หมวดหมู่ หรืออุตสาหกรรมแล้ว ให้เรียกดูรีวิวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดเพื่อดูว่าพวกเขาขาดอะไร
นี่ก็ใช้ได้กับธุรกิจที่มีอยู่ หากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ถัดไปที่จะขายภายใต้แบรนด์ของคุณ รีวิวผลิตภัณฑ์จากลูกค้าจะเปิดเผยความต้องการของผู้ซื้อ และคุณสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าชิ้นถัดไป
ด้วยน้ำมันมะกอกทั่วไปหลายสิบตัวบนชั้นวางของร้านขายของชำ ผู้บริโภคทั่วไปจึงยากที่จะเข้าใจว่าพวกเขากำลังซื้ออะไร Brightland ของ Aishwarya Iyer ตัดสินใจว่าเธอสามารถปรับปรุงวัตถุดิบในครัวเรือนทั่วไปด้วยการสร้างแบรนด์ การศึกษาเกี่ยวกับลูกค้าและการเลือกพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตอย่างรอบคอบ “เราสามารถสร้างแบรนด์ที่ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นและต้องการสินค้าวางไว้บนเคาน์เตอร์ของพวกเขา” Aishwarya กล่าว
11. วิจัยผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง
ผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและศักยภาพในการทำกำไรสูง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะความเสี่ยงต่ำกว่า เมื่อตั้งราคาให้กับผลิตภัณฑ์ คุณต้องคำนึงถึงต้นทุนของสินค้าที่ขาย (COGS) เพื่อกำหนดราคาขายปลีกและอัตรากำไรของคุณ COGS รวมถึงค่าใช้จ่ายในการสร้าง ส่งเสริม เก็บรักษา และจัดส่งผลิตภัณฑ์
มองหาสินค้าที่มีต้นทุนต่ำซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูง บางผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง ได้แก่ สินค้าสำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์เฉพาะ เทียน และผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ส่วนตัว
12. ตอบโจทย์ความต้องการด้านความยั่งยืน
เทรนด์ของผู้บริโภค แสดงให้เห็นถึงความต้องการแบรนด์ที่ทำดีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่ แนวทางธุรกิจที่ยั่งยืน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ผู้บริโภคที่อายุน้อยกว่ามักจะดึงดูดแบรนด์ที่มีค่านิยมที่ตรงกับพวกเขา ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยการขายผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
วิธีการบางประการในการค้นหาผลิตภัณฑ์เพื่อขายในหมวดหมู่นี้ ได้แก่ การวิจัยธุรกิจที่ยั่งยืนอื่นๆ เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและออกแบบเวอร์ชันที่ยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่
Tsuno ผู้ก่อตั้ง Roz Campbell เห็นโอกาสในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลในชีวิตประจำวัน เธอไม่เพียงแต่ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์อนามัยที่ยั่งยืน แต่ยังสร้างโปรแกรมหนึ่งต่อหนึ่งที่บริจาคผลิตภัณฑ์ให้กับเด็กหญิงที่ต้องการ เธอใช้รายได้ในการลงทุนในองค์กรพันธมิตรที่ส่งเด็กหญิงไปโรงเรียน
13. เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและงานแฟร์
การเข้าใจภูมิทัศน์ปัจจุบันและคู่แข่งที่มีศักยภาพเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวิจัยผลิตภัณฑ์ หากคุณมีอุตสาหกรรมหรือหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ในใจอยู่แล้ว ให้ค้นหางานแสดงสินค้า ตลาด และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อทำการวิเคราะห์การแข่งขันและค้นหาแนวคิดผลิตภัณฑ์ที่ดี ให้ใส่ใจว่าบูธใดสร้างความตื่นเต้นมากที่สุด
14. พิจารณาการปรับแต่งสินค้า
วิธีหนึ่งในการโดดเด่นจากการแข่งขันคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร ปรับแต่งได้ และมีเอกลักษณ์ โมเดลการพิมพ์ตามคำสั่ง ช่วยให้คุณดำเนินแนวคิดนี้สำหรับสินค้าต่างๆ เช่น เสื้อยืดและแก้ว โดยไม่ต้องผลิต หรือเก็บสินค้าด้วยตัวเอง
Pluto Pillow ได้กระโดดเข้าสู่เทรนด์ด้านสุขอนามัยการนอน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใช้ในบ้าน โดยหมอนของแบรนด์ถูกออกแบบตามข้อกำหนดของแต่ละบุคคล รวมถึงท่านอนและความชอบส่วนตัว
หมายเหตุ: การปรับแต่งอาจขยายไปเกินกว่าตัวผลิตภัณฑ์เอง หากคุณกำลังขายผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขัน ให้โดดเด่นโดยการนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคลภายในแบรนด์
15. วิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ
ตลาดต่างประเทศอาจเป็นกุญแจสำคัญในการค้นพบสิ่งใหม่ในการขายให้กับลูกค้าในตลาด เพราะเทรนด์ในประเทศอื่นอาจได้รับความนิยมในต่างแดนเช่นกัน เช่น สินค้าความงามเกาหลีที่กลายเป็นของยอดนิยมในอเมริกาเหนือในช่วงต้นปี 2010 ลองมองไปที่อื่นๆ ที่มักมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในที่ที่คุณอาศัยอยู่ คุณพอจะเล็งเห็นเทรนด์ก่อนที่มันจะได้รับความนิยมได้หรือไม่?
คุณสามารถสร้างสินค้าของตัวเองในแนวทางของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคอื่นๆ หรือคุณอาจเลือกที่จะเป็นผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่นหรือผู้ค้าปลีกสำหรับแบรนด์ที่มีอยู่ นั่นคือสิ่งที่ Gillian Gallant ทำเมื่อเธอค้นพบ Paper Shoot Camera ใน TikTok และรู้ว่ามันจะเป็นที่นิยมในอเมริกาเหนือ
16. รับแรงบันดาลใจจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนแล้ว บริษัทต่างๆ ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงค่านิยมของพวกเขาในวิธีอื่นๆ อย่างแบรนด์ที่มีผลกระทบทางสังคม สามารถสร้างความภักดีจากลูกค้าที่มีค่านิยมเดียวกัน หากคุณกำลังขายสินค้าทั่วไป การเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันจะเป็นกุญแจที่ทำให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง
Hippy Feet เป็นแบรนด์ที่ขายถุงเท้าและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ โดยมีรายได้ 50% สนับสนุนองค์กรพันธมิตรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ลูกค้าซื้อถุงเท้าของแบรนด์ไม่เพียงแต่เพราะลวดลายที่สร้างสรรค์และตัวเลือกที่หลากหลาย แต่ยังเพราะมันให้ความรู้สึกดี
การตรวจสอบไอเดียสินค้า
การตรวจสอบไอเดียสินค้าจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อคุณได้ลองวางขายผลิตภัณฑ์นั้นๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ก่อนที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ เพื่อดูว่าของชิ้นนั้นๆ จะขายได้หรือไม่
- ทำการวิจัยผลิตภัณฑ์: ประเมินตลาดและคู่แข่ง
- ทำการวิจัยตลาด: ลองใช้กลุ่มเป้าหมาย การสำรวจ หรือแม้แต่การอความคิดเห็นจากลูกค้าที่มีศักยภาพเในโซเชียลมีเดีย
- คำนวณตัวเลข: ผลิตภัณฑ์นั้นมีศักยภาพในการทำกำไรหรือไม่? เข้าใจค่าใช้จ่ายของคุณและกำหนดราคาขายปลีกที่เหมาะสม เพื่อหากำไร
- ลองทำแคมเปญระดมทุน: การรับความสนใจและการลงทุนจากลูกค้าที่มีศักยภาพ ก่อนที่คุณจะเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย
- ทำการขายล่วงหน้า: คล้ายกับข้างต้น คุณสามารถวัดความสนใจที่แท้จริงจากลูกค้าโดยการขายผลิตภัณฑ์ก่อนผลิต
“เราได้รับการสอนเสมอ ให้เสี่ยงอย่างชาญฉลาด” Nancy Twine ผู้ก่อตั้ง Briogeo กล่าว “ดังนั้นเราจึงรู้ว่าถ้าจะลาออกจากอาชีพไฟแนนซ์เพื่อเริ่มต้นบริษัทของตัวเอง เราต้องรู้สึกอยากทำธุรกิจนั้นมากๆ” สำหรับเธอ นั่นหมายถึงการลงทุนในการวิจัยตลาดและสร้างบริษัทอย่างช้าๆ ขณะที่เธอยังมีงานทำอยู่
เครื่องมือวิจัยผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
การติดตามเทรนด์ผลิตภัณฑ์และความชอบเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จ เครื่องมือวิจัยผลิตภัณฑ์สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เกี่ยวกับความต้องการของตลาด ราคาเฉลี่ยในอดีต และโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่
นี่คือ 4 เครื่องมือที่ดีที่สุด
- Exploding topics: เครื่องมือนี้ใช้ AI ในการสแกนอินเทอร์เน็ต เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์และหัวข้อที่กำลังเป็นที่นิยม ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ระดับมืออาชีพช่วยให้คุณก้าวนำหน้าสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งเหมาะสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และแซงหน้าคู่แข่ง
- Helium10: Helium10 มีชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาสำหรับผู้ขาย Amazon และ Walmart ส่วนขยาย Chrome และฐานข้อมูลของมันสามารถช่วยให้คุณค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรถัดไปเพื่อขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้
- TikTok Creative Center: TikTok ยังให้การเข้าถึงรายการผลิตภัณฑ์ยอดนิยมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพโฆษณาสำหรับรายการยอดนิยมตลอดทั้งปี ซึ่งมีประโยชน์สำหรับการเข้าใจเทรนด์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อยและการพัฒนากลยุทธ์การตลาด TikTok
- Jungle Scout: เครื่องมือที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ขาย Amazon, Jungle Scout มีการคาดการณ์ยอดขาย การตรวจสอบผู้ผลิต และการติดตามเทรนด์ตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังช่วยในงานหลังการวิจัย เช่น การขอรีวิวจากลูกค้าและการปรับแต่งรายการ
โอกาสของสินค้ามีอยู่ทุกที่
ไม่ว่าคุณจะจำกัดลงในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์หรือเริ่มต้นจากศูนย์ มีสถานที่มากมายในการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันต่ำและมีความต้องการสูง ใช้เครื่องมือค้นหา โซเชียลมีเดีย และ Google Trends เพื่อลองหาผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดจากแบรนด์อื่นๆ และค้นหาผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยมหรือตลาดที่ไม่ได้รับการบริการในกลุ่มเฉพาะ
เมื่อได้ผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับธุรกิจออนไลน์แล้ว นั่นหมายถึงคุณได้ผ่านก้าวแรกสู่อนาคตในฐานะผู้ประกอบการ ตั้งค่าร้านขายของออนไลน์ และเริ่มลงทุนในการตลาดดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้าในอุดมคติ คุณพร้อมแล้วที่จะเริ่มขายของออนไลน์!
ภาพประกอบโดย Isabella Fassler
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิจัยผลิตภัณฑ์
จะหาสินค้าเพื่อขายออนไลน์ได้อย่างไร?
คุณสามารถหาผลิตภัณฑ์เพื่อขายในร้านอีคอมเมิร์ซได้หลายวิธี โอกาสของสินค้าอาจมาจากการแก้ไขปัญหาของลูกค้า ดึงดูดผู้ที่มีงานอดิเรกหรือผู้ที่มีความชอบในตลาดเฉพาะ ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ในอาชีพของคุณ และอื่นๆ เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้ในการขายในร้านค้าออนไลน์ของคุณ อย่าลืมประเมินความต้องการและทำการวิจัยผลิตภัณฑ์และตลาดนั้นๆ ด้วย
เราจะหาไอเดียสินค้าได้จากที่ไหน?
คุณสามารถหาสินค้าเได้โดยการดูที่โซเชียลมีเดีย เทรนด์ล่าสุด ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จจากแบรนด์อื่นๆ และปริมาณการค้นหาใน Google และตลาด สิ่งพิมพ์ทางการค้าหรือวารสารผู้บริโภคในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการยังเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี
หมวดหมู่สินค้าใดที่มีความต้องการสูง?
หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา โดย Jungle Scout ได้เผยแพร่รายชื่อหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน Amazon ในปี 2024 และ Shopify จะอัปเดตรายชื่อสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสม่ำเสมอ ลองใช้รายชื่อนี้เพื่อกำหนดหมวดหมู่สินค้า และอย่าลืมว่าหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงอาจมีการแข่งขันสูงเช่นกัน
จะตรวจสอบไอเดียสินค้าของเราได้อย่างไร?
คุณสามารถตรวจสอบศักยภาพตลาดสำหรับแนวคิดผลิตภัณฑ์ได้โดยการวิจัยคำค้นหาหรือเทรนด์โซเชียลมีเดีย ใช้เครื่องมืออย่าง Buzzsumo และ Google Keyword Planner เพื่อดูว่าผู้คนกำลังพูดถึงและค้นหาอะไรบ้างในช่วงเวลานั้นๆ ประเมินภาพรวมการแข่งขัน เพื่อระบุช่องว่างและโอกาส และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยการเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น
สินค้าที่ทำกำไรได้มากที่สุดคืออะไร?
อัตรากำไรของคุณจะขึ้นอยู่กับ COGS กลยุทธ์การตั้งราคา อัตราการแข่งขัน ความต้องการผลิตภัณฑ์ และเกณฑ์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม บางหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์มักมีต้นทุนต่ำและอัตรากำไรสูง หมวดหมู่เหล่านี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ความงาม เครื่องประดับ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์