การขายออนไลน์มีศักยภาพไม่จำกัด คุณสามารถขายสินค้าและบริการให้กับใครก็ได้ ทุกที่ และสร้างธุรกิจที่มีกำไรได้ตามที่คุณต้องการ
แต่คุณไม่สามารถทำได้เพียงแค่ดีดนิ้ว เพราะคุณจะต้องค้นหาไอเดีย, สร้างเว็บไซต์ และอื่นๆ อีกมากมายก่อนที่คุณจะพร้อมสร้างรายได้ที่มั่นคง และเรามีคู่มือที่คุณต้องการ ด้านล่างนี้คือ 9 ขั้นตอนที่คุณต้องปฏิบัติตามเพื่อเริ่มขายออนไลน์
9 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการเริ่มขายออนไลน์
- ค้นหาช่องทางหรือระดับการแข่งขัน
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ตัดสินใจว่าจะขายสินค้าอะไร
- สร้างร้านค้าออนไลน์
- เลือกช่องทางการขาย
- ตั้งค่าการประมวลผลการชำระเงิน
- เลือกวิธีการจัดส่ง
- โปรโมทสินค้า
- ปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง
1. ค้นหาช่องทางและรู้ระดับการแข่งขัน
เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ดำเนินธุรกิจนี้ วิธีขายของออนไลน์มือใหม่จึงต้องมีสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่น เลือกช่องทางที่คุณสนใจ จากนั้นค้นหาสินค้าที่มีความต้องการสูงที่คุณสามารถขายได้ในราคาสูง
วิจัยคู่แข่ง
ใครคือคู่แข่งของคุณในการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย? ค้นหาพวกเขาผ่านการวิจัยการแข่งขัน ดูที่กลยุทธ์การตลาด กลุ่มเป้าหมายและราคาสินค้า ใช้สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจของคุณ
ประเมินไอเดีย
อาจกล่าวได้ว่าส่วนที่ยากที่สุดในการขายออนไลน์คือการตัดสินใจเกี่ยวกับไอเดียธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะดำเนินร้านค้าจากที่บ้านทำควบคู่กับงานประจำ หรือใช้เป็นช่องทางสร้างสรรค์ ค้นหาไอเดียก่อนที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไปในการขายออนไลน์
เขียนแผนธุรกิจ
คุณรู้ว่าคุณกำลังขายอะไรและใครคือคู่แข่งของคุณ นำข้อมูลนี้ไปใส่ในแผนธุรกิจซึ่งเป็นเอกสารที่สรุปว่าบริษัทของคุณคืออะไร และมีคำชี้แจงพันธกิจ การวิเคราะห์การแข่งขัน และกลยุทธ์การตลาด
แหล่งข้อมูลจากเทมเพลตแผนธุรกิจสำหรับทำ Business Plan
2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย คือประเภทของคนที่คุณขายให้ทางออนไลน์ ค้นหาพวกเขาผ่านการสำรวจและการวิเคราะห์คู่แข่ง และสร้างบุคลิกภาพของผู้ซื้อเพื่อกำหนดเป้าหมาย
ทำการสำรวจลูกค้า
การสำรวจลูกค้าจะช่วยให้คุณเข้าใจความคิดของลูกค้าในอุดมคติ ทำแบบทดสอบ การทดสอบการใช้งานแบบตัวต่อตัวและการประชุมกลุ่ม เพื่อค้นหาความต้องการและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ประเมินกลุ่มลูกค้าคู่แข่ง
เมื่อคุณเริ่มขายสินค้าทางออนไลน์ คุณจะต้องโน้มน้าวกลุ่มลูกค้าของคู่แข่งให้ซื้อจากคุณแทน ค้นหาบุคลิกภาพของลูกค้าที่พวกเขาขายและทำการตลาด ผ่านการวิเคราะห์การแข่งขัน ใช้โปรโมชั่นที่มีจุดขายที่ทำให้คุณแตกต่างออกไป
สร้างบุคลิกภาพของผู้ซื้อ
คิดถึง บุคลิกภาพของผู้ซื้อ เป็นตัวละครที่คุณสร้างขึ้นเพื่อแสดงลักษณะของลูกค้าในอุดมคติ ในแต่ละบุคลิกภาพของผู้ซื้อ ให้รวมถึงจุดเจ็บปวด ความสนใจ งานอดิเรก ข้อมูลประชากร และตำแหน่งงาน อ้างอิงถึงพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังมุ่งเป้าไปที่คนที่ถูกต้อง (ผู้ที่มีแนวโน้มจะซื้อ) ผ่านแคมเปญการตลาดของคุณ
3. ตัดสินใจว่าจะขายสินค้าอะไร
เมื่อคุณได้ไอเดียช่องทางและกลุ่มเป้าหมายที่คุณวางแผนจะขายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะตัดสินใจว่าสินค้าใดที่คุณจะขายจริง ๆ คุณจะต้องค้นหาผู้ผลิตสำหรับสินค้านี้หรือไม่ หรือจะเลือกใช้แบรนด์ส่วนตัว? คุณจะเปิดตัวด้วยสินค้าชิ้นเดียวหรือทำเป็นสายผลิตภัณฑ์? การเลือกของคุณในครั้งนี้จะมีผลกระทบใหญ่ความสำเร็จของร้านอีคอมเมิร์ซ
โมเดลธุรกิจคือกรอบที่คุณใช้ในการขายสินค้าออนไลน์ เพราะมีโมเดลต่าง ๆ ให้เลือก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่คุณมีเพื่อลงทุน ประเภทของสินค้าที่คุณขายทางออนไลน์ และว่าคุณต้องการจัดการการเก็บสต็อกและการจัดส่งหรือไม่
ค้นหาสินค้าที่มีความต้องการสูง
ยิ่งสินค้าของคุณมีความต้องการสูงเท่าไร การค้นหาลูกค้าที่มีศักยภาพที่ต้องการซื้อก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะดรอปชิปหรือขายตรงให้กับผู้บริโภค สินค้าที่มีความต้องการสูงจะทำให้แน่ใจว่าคุณไม่เสียเวลาส่งเสริมสินค้าที่ผู้คนไม่ต้องการซื้อ
ตั้งราคาให้กับสินค้าของคุณ
อัตรากำไรสูง หมายความว่าคุณซื้อสินค้ามาในราคาที่ถูกกว่าที่คุณขายออนไลน์มาก แต่การตั้งราคาไม่ใช่แค่การใส่ตัวเลขตามอำเภอใจ ฐานลูกค้าของคุณได้รับอิทธิพลอย่างมากจากราคา ตั้งราคาให้ถูกต้องผ่านการวิจัยและการวิเคราะห์เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขาหลีกหนี
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีตั้งราคาสินค้าของคุณใน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
4. สร้างร้านค้าออนไลน์
ร้านค้าออนไลน์ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากคุณผ่านอินเทอร์เน็ตโดยใช้เว็บเบราว์เซอร์หรือแอปมือถือ หากคุณมีงบประมาณจำกัดและวางแผนที่จะทดสอบไอเดียสินค้าของคุณก่อนที่จะลงทุนในร้านค้าอีคอมเมิร์ซ ลองใช้แผนเริ่มต้นของ Shopify ซึ่งคุณสามารถเข้าถึงเครื่องมือทั้งหมดที่คุณต้องการในการขาย าคาเพียง 5 ดอลลาร์ (ประมาณ 170 บาท) ต่อเดือน
เปรียบเทียบแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
- Shopify vs. BigCommerce
- Shopify vs. Commerce Cloud
- Shopify vs. Lightspeed
- Shopify vs. Magento
- Shopify vs. Prestashop
- Shopify vs. Squarespace
- Shopify vs. Webflow
- Shopify vs. Wix
- Shopify vs. WooCommerce
- Shopify vs. WordPress
สร้างหน้าเว็บเพจที่จำเป็น
เมื่อคุณมีชื่อโดเมนแล้ว คุณจะต้องเริ่มสร้างหน้าร้าน
ผู้คนมักมองหาข้อมูลเฉพาะก่อนที่จะไว้วางใจผู้ค้าปลีกออนไลน์ด้วยเงินของพวกเขา ซึ่งรวมถึงหน้าสินค้า หมวดหมู่ หน้าข้อมูลเกี่ยวกับเรา หน้าติดต่อเราและหน้าคำถามที่พบบ่อย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีข้อมูลเหล่านี้พร้อมก่อนที่ลูกค้าจะเริ่มค้นหา
ปรับปรุงกระบวนการชำระเงิน
ผู้คนละทิ้งรถเข็นออนไลน์ ด้วยเหตุผลหลายประการ ค้นหาสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและแก้ไขผ่านการปรับปรุงขั้นตอนการชำระเงิน เมื่อผู้ซื้อทำการซื้อผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ปรับให้เหมาะสมด้วย Shop Pay ผู้ค้าปลีกจะเห็นอัตราส่วนของจำนวนลูกค้าที่ทำธุรกรรมจนเสร็จสิ้นต่อจำนวนลูกค้าในขั้นตอนการชำระเงินสามารถเพิ่มขึ้นได้สูงสุด 50% และเพราะมันใช้เพียงคลิกเดียวในการทำธุรกรรม มันจึงเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้า
จัดการสินค้าคงคลัง
คุณรู้ไหมว่ามีสินค้าคงคลังเท่าไรที่พร้อมขาย? การจัดการสินค้าคงคลังเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ค้าปลีก โดยเฉพาะถ้าคุณขายสินค้าออนไลน์ผ่านหลายช่องทาง ค้นหาระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่รวมข้อมูลจากทุกช่องทางและป้องกันการขาดแคลนสินค้าที่อาจทำให้ลูกค้าหันไปหาคู่แข่ง
5. เลือกช่องทางการขาย
ช่องทางการขายคือแพลตฟอร์มที่คุณใช้ในการขายสินค้าให้กับผู้ซื้อออนไลน์ นี่คือวิธีการระบุช่องทางที่คุณควรใช้
ร้านค้าออนไลน์
เว็บไซต์ของคุณเองเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาสำหรับลูกค้า ไม่เพียงแต่คุณจะรักษาอัตรากำไรสูงเพราะคุณลดคนกลางที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คุณยังเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และสร้างรากฐานสำหรับการปรับแต่งในอนาคต เพราะคุณจะรู้ว่าผู้ซื้อคนไหนซื้ออะไรเมื่อออเดอร์เข้ามาผ่านร้านค้าออนไลน์
ตลาดออนไลน์
หากร้านค้าออนไลน์ของคุณเหมือนกับร้านค้าปลีกแบบสแตนด์อโลน การขายใน ตลาดออนไลน์ จะเหมือนกับการตั้งเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า เป็นวิธีที่จะเข้าถึงผู้ชมใหม่ ๆ นอกจากช่องทางตรง ซึ่งตลาดออนไลน์ก็รวมถึง
- Amazon
- Etsy
- Craigslist
- Poshmark
- Ruby Lane
- Facebook Marketplace
เข้าถึงผู้ซื้อเหล่านั้นโดยการลงรายการสินค้าของคุณเพื่อขายบนแพลทฟอร์มนั้นๆ เพียงแต่ต้องไม่ลืมว่าทุกแพลตฟอร์มการขายจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อคุณขายได้ บางแห่งอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการลงรายการด้วย ลดความเสี่ยงโดยการเพิ่มตลาดออนไลน์เป็นช่องทางการขายรอง ไม่ใช่ช่องทางหลัก
แหล่งข้อมูลจาก
- การดรอปชิปใน Walmart คุ้มค่าหรือไม่?
- วิธีทำเงินจาก Amazon (8 วิธีที่พิสูจน์แล้ว)
- ขายบน Etsy ยังไงให้ประสบความสำเร็จ
- คู่มือการขายบน eBay สำหรับมือใหม่ ลงลิสต์ จัดการ และขายผ่าน Shopify
การค้าในโซเชียล
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียพึ่งพาแพลตฟอร์มที่ชอบในการซื้อสินค้า มีส่วนร่วมกับแบรนด์ และแชร์คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้า ใช้เวลาในแพลตฟอร์มที่ลูกค้าของคุณชื่นชอบ เพื่อขับเคลื่อนยอดขายสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คุณสามารถขายสินค้าของคุณได้ทุกที่ตั้งแต่ Instagram ไปจนถึง TikTok และ Pinterest
B2B หรือขายส่ง
การค้าแบบขายส่งเกิดขึ้นเมื่อคุณขายสินค้าต่อผู้ค้าปลีกอื่น โดยปกติจะขายเป็นจำนวนมากและในราคาที่ต่ำกว่า เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการเพิ่มยอดขาย โดยไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาด เข้าสู่ตลาดใหม่ด้วยความเสี่ยงที่น้อยลง และใช้แบรนด์อื่นในการขายสินค้าของคุณออนไลน์ นี่คือวิธีการค้นหาตลาดขายส่งที่คุณสามารถขายสินค้าของคุณได้
6. ตั้งค่าการประมวลผลการชำระเงิน
การประมวลผลการชำระเงิน ช่วยให้คุณสามารถรับการชำระเงินเมื่อขายออนไลน์ มันจะย้ายเงินจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีผู้ค้า โดยรักษาข้อมูลที่ละเอียดอ่อนให้ปลอดภัยและเข้ารหัสตลอดกระบวนการ
บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับผู้ซื้อออนไลน์ รองรับบัตรเครดิตในร้านค้าออนไลน์ของคุณเพื่อดึงดูดลูกค้าเหล่านั้น เพราะด้วยวิธีการชำระเงินนี้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจะอนุญาตให้ธนาคารของลูกค้าเข้าถึง Transection ได้ โดยระบบนี้จะอนุมัติ (หรือปฏิเสธ) การทำธุรกรรมและปล่อยเงินเข้าสู่บัญชีผู้ค้าของคุณ
กระเป๋าเงินดิจิทัล
ลูกค้าสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อออนไลน์โดยไม่ต้องป้อนหมายเลขบัตรเครดิตทั้งหมดในแต่ละครั้ง กระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Shop Pay จะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าไว้ ลูกค้าสามารถทำการซื้อได้เพียงไม่กี่คลิก ลดความยุ่งยากและเพิ่มคอนเวิร์สชัน
7. เลือกวิธีการจัดส่ง
ลูกค้าสมัยใหม่ต้องการการจัดส่งที่รวดเร็วและฟรี หลายคนจะละทิ้งการซื้อออนไลน์ หากการจัดส่งไม่ตรงตามความคาดหวัง พวกเขายังต้องการให้แบรนด์มีความยั่งยืนมากขึ้น ด้วยแอป Planet ลูกค้าสามารถเลือกตัวเลือกการจัดส่งที่เป็นกลางทางคาร์บอน ในราคาเพียง 3.5¢ ถึง 15¢ (ประมาณ 1.2 ถึง 5 บาท) ต่อคำสั่งซื้อ
การจัดส่งภายในประเทศ
การจัดส่งคำสั่งซื้อออนไลน์ไปยังลูกค้าในประเทศเดียวกันจะถูกกว่าการจัดส่งระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การประเมินผู้ให้บริการขนส่งต่าง ๆ วัสดุจัดส่ง และโซนการจัดส่งก็สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ และทำให้คุณมีกำไรสูงขึ้นและยังสามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ 6 วิธีลดค่าใช้จ่ายค่าจัดส่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การจัดส่งระหว่างประเทศ
คุณจะส่งพัสดุไปยังลูกค้าที่อยู่อีกฝากหนึ่งของโลกได้อย่างไร? ด้วยกลยุทธ์การจัดส่งระหว่างประเทศ คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าคุณจะจัดส่งไปที่ไหน กฎและข้อบังคับของประเทศนั้น ๆ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าไปยังมือของลูกค้าข้ามพรมแดน
การจัดส่งแบบหลายช่องทาง
การจัดส่งอีคอมเมิร์ซ หมายถึงวิธีที่คุณเลือก บรรจุ และจัดส่งคำสั่งซื้อให้กับลูกค้า เลือกที่จะจัดการการจัดส่งภายในองค์กร ทำงานกับผู้จัดส่ง หรือจ้างพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ภายนอก
8. โปรโมทสินค้า
เมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังขายอะไ รและลูกค้าจะได้รับมันอย่างไร ให้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าของคุณด้วยกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ
โปรโมทบนโซเชียลมีเดีย
เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าของคุณในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่กลุ่มเป้าหมายใช้ สร้างคอนเทนท์คุณภาพสูง ทดลองใช้ภาพและวิดีโอ และมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามอย่างสม่ำเสมอ ใช้ฟีเจอร์การค้าในโซเชียลเพื่อแชร์ประสบการณ์การช็อปปิ้งในแอปกับผู้ใช้โดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์ม
ลงโฆษณาที่ต้องชำระเงิน
การโฆษณาช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าคุณจะมีงบโฆษณาหรือเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาฟรี สร้างกลยุทธ์การโฆษณาเพื่อโปรโมทสินค้าที่คุณขายออนไลน์
9. ปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่มีจิตใจของผู้ประกอบการมักจะมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงอยู่เสมอ เมื่อคุณพร้อมที่จะขยายธุรกิจ ให้ปรับปรุงการดำเนินงานหลังล้านและเลือกสินค้า ให้ทำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ให้ระบบอัตโนมัติช่วยงานที่ต้องใช้เวลานาน
เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทำงานในธุรกิจต่อสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อธุรกิจคุณเติบโตขึ้นการทำให้ออโตโมชันกับงานที่คุณต้องใช้เวลามนานๆ จะทำให้คุณมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่ช่วยให้กิจการเดินไปข้างหน้าได้มากขึ้น
ทดลองกับการค้าแบบพบปะ
นำธุรกิจออนไลน์ของคุณไปสู่การพบปะโดยการเข้าร่วมกิจกรรมท้องถิ่น จัดงาน Pop-up Shop หรือใช้ร้านค้าจริงของคุณเป็นวิธีให้ลูกค้าซื้อออนไลน์และรับสินค้าที่ร้าน Shopify POS ที่สามารถให้ข้อมูลอย่างครอบคลุม ทั้งข้อมูลการขายปลีก สินค้าคงคลังและโปรไฟล์ลูกค้าในทั้ง 2 ช่องทางการขาย
เคล็ดลับขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
- ปรับปรุงเว็บ เพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้
- ลงทุนกับ SEO
- ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์
- เริ่มทำลิสต์อีเมล
- เสนอทางเลือกซื้อทันที ชำระทีหลัง
- ใช้รูปและคำอธิบายที่มีคุณภาพ
- ให้บริการลูกค้าอย่างดี
- ใช้โซเชียลพรูฟ
- สร้างกลยุทธ์การตลาดคอนเทนท์
ปรับปรุงเว็บเพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้
เว็บไซต์ของคุณคือร้านค้าออนไลน์ ควรเป็นมิตรและใช้งานง่ายเหมือนร้านจริง เมนูหลักที่ใช้ง่าย คำอธิบายสินค้าที่ชัดเจน รูปภาพคุณภาพสูง โหลดไว และกระบวนการชำระเงินที่ตรงไปตรงมา คือกุญแจสำคัญในการขายสินค้าออนไลน์ การออกแบบ UX ที่ดี สามารถลดอัตราการละทิ้งรถเข็นและปรับปรุงอัตราคอนเวอร์ชันได้
ธีมของ Shopify รองรับความต้องการและมีให้เลือกมากกว่า 100 ธีม
ลงทุนกับ SEO
การปรับแต่งเสิร์ชเอนจิน (SEO) เป็นกลยุทธ์การตลาดระยะยาวที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่การวิจัยคำหลักไปจนถึงการสร้าง Backlink ปฏิบัติตามแนวทาง SEO เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพที่กำลังมองหาสินค้าที่คุณขายออนไลน์
ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์
อินฟลูเอนเซอร์ แม้แต่ไมโครอินฟลูเอนเซอร์เองก็มีพลังในการสร้างยอดขายออนไลน์หลักแสนให้กับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ค้นหาและร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในแพลตฟอร์มที่ลูกค้าคุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น Instagram หรือ TikTok และใช้ความภักดีของผู้ชมของพวกเขาในการสร้างยอดขาย
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shopify Collabs รับเงินจากแบรนด์ที่คุณรัก
เริ่มทำลิสต์อีเมล
อีเมลเป็นช่องทางการสื่อสารตรงกับลูกค้าเพียงช่องทางเดียวที่คุณมีอยู่ ดังนั้น คุณควรกระตุ้นให้ผู้คนลงทะเบียนในลิสต์อีเมลและส่งคอนเทนท์เป็นประจำ เช่น วิดีโอการศึกษา หรืออีเมลการละทิ้งรถเข็น
แตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่สามารถจำกัดคอนเทนท์ของคุณได้ตลอดเวลา การตลาดผ่านอีเมลหมายความว่าคุณจะเข้าถึงสถานที่เสมือนที่สำคัญที่สุดของลูกค้า นั่นคือ กล่องจดหมาย ได้เสมอ
เสนอทางเลือกซื้อทันที ชำระทีหลัง
ซื้อทันที ชำระทีหลัง เป็นวิธีการชำระเงินที่ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อของพวกเขาเป็นงวด เปิดใช้งานสิ่งนี้ในร้านค้าออนไลน์ของคุณผ่านผู้ให้บริการ เช่น Shop Pay Installments คุณจะดึงดูดผู้คนหลายล้านคนที่ใช้ BNPL ในการซื้อสินค้าออนไลน์
ใช้รูปและคำอธิบายที่มีคุณภาพ
ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสสินค้าทางออนไลน์ได้ ดังนั้นคุณต้องให้ภาพถ่ายคุณภาพสูงจากมุมต่าง ๆ และคำอธิบายที่ละเอียด ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังซื้อและสามารถช่วยลดการคืนสินค้า
ให้บริการลูกค้าอย่างดี
การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมเป็นตัวแปรที่สำคัญเมื่อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งรวมถึงการตอบคำตอบโดยเร็ว การคืน เปลี่ยนของได้ง่าย และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น
ใช้โซเชียลพรูฟ
หลักฐานทางสังคม เช่น รีวิวจากลูกค้า คำรับรอง คะแนน และเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการช็อปปิ้งออนไลน์ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการโน้มน้าวให้เกิดการซื้อ เนื่องจากผู้คนเชื่อถือประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้อื่น
สร้างกลยุทธ์การตลาดคอนเทนท์
การตลาดคอนเทนท์สามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ได้แก่
- ช่วยสร้างแบรนด์
- ทำให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
- ดึงดูดการเข้าชมไปยังเว็บไซต์
คุณสามารถใช้เนื้อหาหลายประเภทบล็อก วิดีโอ พอดแคสต์ จดหมายข่าว ทุกอย่างที่ให้คุณค่าแก่ผู้ชมของคุณนอกเหนือจากการขายสินค้า
ตัวอย่างเช่น ผู้ค้าปลีกอุปกรณ์ฟิตเนสสามารถสร้างบล็อกและช่อง YouTube ที่มีคอนเทนท์เกี่ยวกับการออกกำลังกาย เคล็ดลับฟิตเนส และคำแนะนำด้านโภชนาการ
ทรัพยากรเหล่านี้ดึงดูดลูกค้าที่สนใจในฟิตเนส สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ค้าปลีก นี่คือกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความภักดีของลูกค้า นำไปสู่การซื้อซ้ำและบอกต่อมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขายออนไลน์
จะขายออนไลน์อย่างถูกกฎหมายได้อย่างไร
ความถูกต้องตามกฎหมายของการขายของออนไลน์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับโครงสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ ลองพิจารณาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร เพื่อปกป้องชื่อธุรกิจหรือเพื่อการคุ้มครองทางกฎหมาย คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวทางอีเมล โดยเฉพาะ GDPR หากลูกค้าของคุณอยู่ในสหภาพยุโรป
เว็บไซต์ใดดีที่สุดสำหรับการขายออนไลน์
Shopify เป็นเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับการขายของออนไลน์ ในราคาเพียง 5 ดอลลาร์ (ประมาณ 170 บาท) ต่อเดือน แผน Starter มอบเครื่องมือที่คุณต้องการในการขายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้งานอยู่
ต้องจ่ายภาษีสำหรับสินค้าที่ขายออนไลน์หรือไม่
จำนวนภาษีที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณจ่ายขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณดำเนินธุรกิจ สำหรับในประเทศไทย ผู้ดำเนินกิจการธุรกิจขายของออนไลน์จะต้องยื่นภาษีตามอัตราของรายได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (สำหรับการซื้อมาขายไป) และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
อะไรที่ขายออนไลน์แล้วได้กำไรมากที่สุด
- งานศิลปะดิจิทัล
- สินค้าแฮนด์เมด
- ขวดน้ำ
- ปากกาและดินสอ
- เสื้อผ้าออกแบบเอง