หลายคนฝันอยากเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แต่ความจริงของการสร้างร้านค้าออนไลน์อาจดูน่ากังวล
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ 5 ขั้นตอนพื้นฐานในการเปิดร้านค้าออนไลน์ ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น (เริ่มต้นประมาณ 5,000 - 10,000 บาท) และเคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซคืออะไร?
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซคือบริษัทที่ซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ พวกเขาดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซอาจเป็นกิจการขนาดเล็กที่มีคนเดียวดูแล หรือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก และอาจใช้เว็บไซต์เดียวหรือหลากหลายช่องทางขายในการเข้าถึงลูกค้า ตัวอย่างของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ บริษัทซอฟต์แวร์ แบรนด์เสื้อผ้า และบริการสมัครสมาชิกแบบรายเดือน
เริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใน 5 ขั้นตอน
- ค้นหาโอกาสทางสินค้าและเลือกสิ่งที่ต้องการขาย
- ศึกษาคู่แข่งและเขียนแผนธุรกิจ
- เลือกชื่อธุรกิจและตั้งค่าร้านค้าออนไลน์
- วางแผนการจัดส่งและตั้งเป้าหมายการตลาด
- เปิดตัวธุรกิจของคุณ
1. ค้นหาโอกาสทางสินค้าและเลือกสิ่งที่ต้องการขาย
ขั้นตอนแรกของการสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซคือการรู้ว่าจะขายสินค้าอะไรให้กับผู้บริโภค ซึ่งมักจะเป็นส่วนที่ท้าทายที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ใหม่
ในบทความเหล่านี้ คุณจะได้พบกับกลยุทธ์ในการค้นหาสินค้าที่มีโอกาสทำกำไร และแหล่งไอเดียสินค้าที่ดีที่สุด
- วิธีค้นหาสินค้าที่จะขายออนไลน์
- แหล่งค้นหาสินค้าที่ทำกำไรได้
- สินค้าที่กำลังมาแรงสำหรับขายตอนนี้
- วิธีเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์
การประเมินไอเดียของคุณ
เมื่อคุณมีไอเดียสำหรับธุรกิจออนไลน์แล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะขายได้? ใช้โพสต์เหล่านี้เพื่อช่วยตรวจสอบไอเดียสินค้าและตลาดที่มีศักยภาพ
การจัดหาสินค้า
หลังจากที่ได้ไอเดียสินค้าที่มั่นคง ขั้นตอนต่อไปคือการหาวิธีจัดหาสินค้าของคุณ โพสต์เหล่านี้ครอบคลุมวิธีการต่างๆ ในการจัดหาสินค้า พร้อมทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบ
- รูปแบบธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- วิธีค้นหาผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์สำหรับไอเดียสินค้า
- วิธีจัดหาสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ
- Print on Demand วิธีขายสินค้าสั่งทำแบบ Low-Risk
ขายสินค้าปลีกออนไลน์
การเปลี่ยนธุรกิจออฟไลน์ให้มาอยู่บนออนไลน์สามารถช่วยสร้างกระแสเงินสดได้ ลองดูบทความเหล่านี้ เพื่อสร้างธุรกิจค้าปลีกที่ยืดหยุ่น
- วิธีเปลี่ยนธุรกิจออฟไลน์ให้มาอยู่บนออนไลน์
- ขาย Gift Card ด้วยร้านค้าออนไลน์ง่ายๆ
- วิธีสร้างบริการจัดส่งสินค้าในพื้นที่ใกล้เคียง
- คู่มือการรับสินค้าหน้าร้านแบบ Ultimate
กำลังมองหาแรงบันดาลใจอยู่ใช่มั้ย? หลังจากตกงาน Hannah Perry ได้เปลี่ยนความฝันในการสร้างธุรกิจขนมให้เป็นจริง โดยทำไวรัลกับสินค้าของเธอ Rainbow Floof Cake
2. ศึกษาคู่แข่งและเขียนแผนธุรกิจ
คุณได้เลือกสินค้า ประเมินศักยภาพ และหาแหล่งซัพพลายเออร์เรียบร้อยแล้ว ก่อนเปิดตัวธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ต้องศึกษาคู่แข่งให้รอบคอบ เพื่อรู้ว่าใครคือคู่แข่ง และคุณจะสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ได้อย่างไร ใช้โพสต์เหล่านี้ช่วยคุณวางแผน
การเขียนแผนธุรกิจ
เมื่อการศึกษาคู่แข่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาลงมือเขียนแผนธุรกิจ ซึ่งเป็นแผนที่นำทางสำหรับการทำให้ไอเดียของคุณกลายเป็นความจริง
แผนธุรกิจช่วยในการจัดลำดับความสำคัญ ช่วยให้คุณรู้ว่าควรโฟกัสกับงานไหนก่อน นอกจากนี้ยังเน้นพันธกิจของบริษัทเพื่อแสดงให้ผู้ลงทุนและพนักงานเห็นถึงคุณค่าหลักของแบรนด์ ใช้เทมเพลตเหล่านี้ในการพัฒนาแผนของคุณ:
ตัวอย่างที่น่าสนใจ เบื้องหลังทุกวิดีโอสนุกๆ บน YouTube ของ MrBeast มีแผนธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สนับสนุนอาณาจักรอีคอมเมิร์ซระดับโลกของ Jimmy Donaldson!
3. เลือกชื่อธุรกิจและตั้งค่าร้านค้าออนไลน์
นอกจากการหาสินค้าที่จะขาย การสร้างแบรนด์เป็นอีกงานสำคัญในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คุณจะต้องเลือกชื่อ ออกแบบโลโก้ และเลือกโดเมนที่ยังว่างอยู่ โพสต์เหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการงานสำคัญเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างโลโก้
เมื่อเลือกชื่อที่น่าจดจำและจดทะเบียนโดเมนเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาสร้างโลโก้ที่เรียบง่าย โพสต์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้างโลโก้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจ
- เครื่องมือสร้างโลโก้ฟรีจาก Shopify
- 11 เครื่องมือสร้างโลโก้แบบเสียเงินและฟรีที่ดีที่สุดออนไลน์
- วิธีออกแบบโลโก้ที่น่าจดจำ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SEO (Search Engine Optimization)
คุณใกล้พร้อมสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์แล้ว แต่ก่อนที่จะเริ่ม อย่าลืมเรียนรู้พื้นฐานของ SEO ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนผลการค้นหาของ Google
ต้องการทบทวนความรู้? อ่านคำแนะนำเหล่านี้
การสร้างร้านค้าของคุณ
ถึงเวลาสร้างร้านค้าออนไลน์แล้ว! ด้านล่างนี้คือบทความสำคัญที่ช่วยให้คุณสร้างหน้าสินค้าที่มีคำอธิบายดึงดูดใจ ภาพถ่ายสวยงาม และโทนสีที่สวยและเหมาะสม
- 50+ ร้านค้า Shopify ที่ดีที่สุดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ
- วิธีปรับแต่งหน้าสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย
- วิธีเขียนคำอธิบายสินค้า
- ภาพหนึ่งภาพ สร้างยอดขายได้พันครั้ง คู่มือ DIY สำหรับถ่ายภาพสินค้าสวยๆ
- Image Optimization คืออะไร? 8 เคล็ดลับปรับภาพให้เว็บไซต์ของคุณ
อย่าลืมว่า หากพบปัญหาใดๆ คุณสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญจาก Shopify Partner มาช่วยได้เสมอ
การเลือกช่องทางขาย
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงลูกค้าใหม่คือการพบพวกเขาในที่ที่พวกเขาช้อปปิ้งอยู่แล้ว การผสมผสานช่องทางขายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสินค้าของคุณและกลุ่มเป้าหมาย แต่มีตัวเลือกออนไลน์ที่ดีมากมาย เช่น
- Etsy และ Shopify วิธีใช้ 2 ช่องทางขยายธุรกิจ
- วิธีขายบน eBay กับ 8 ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับมือใหม่
- ธุรกิจเครื่องประดับขายบน Amazon ด้วย Shopify
ชื่อธุรกิจและแบรนด์ที่ดีที่สุดมักมาจากสตอรี่ของเจ้าของแบรนด์ เช่น การเดินป่าแบกเป้ครั้งหนึ่งที่ทำให้เพื่อนสองคนสร้างผลิตภัณฑ์ห้องน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเหมาะกับการเดินทาง
4. วางแผนการจัดส่งและตั้งเป้าหมายการตลาด
ใกล้ถึงเวลาที่ร้านใหม่ของคุณจะเปิดตัวแล้ว ถึงเวลาวางแผนเรื่องการจัดส่งและการเติมสินค้าให้พร้อม! ลองอ่านคู่มือเหล่านี้ เพื่อช่วยจัดการกลยุทธ์การจัดส่งให้ง่ายขึ้น
- วิธีจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า: คู่มือครบจบในที่เดียว
- การจัดส่งระหว่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ต้องรู้
- 17 ไอเดียกลยุทธ์การจัดส่งที่เหมาะกับธุรกิจ
- เคล็ดลับลดต้นทุนการจัดส่งสำหรับธุรกิจเล็ก
อีกเรื่องที่ควรเตรียมไว้ล่วงหน้าคือการตั้งเป้าหมาย (KPI) ให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าต้องวัดผลลัพธ์อะไรกันบ้างหลังเปิดร้าน ลองใช้คำแนะนำเหล่านี้เพื่อหาตัวชี้วัดที่เหมาะกับร้านของคุณ
- ตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
- 20 KPI สำคัญสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
- เช็คลิสต์ก่อนเปิดร้านค้าออนไลน์
แรงบันดาลใจจาก Transformer Table โต๊ะอาหารแบบโมดูลาร์ของ Transformer Table กลายเป็นไวรัลเพราะวิดีโอทำมือ จนธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้พวกเขาใช้ Shopify จัดส่งออเดอร์ให้ลูกค้าทั่วโลก!
5. เปิดตัวธุรกิจของคุณ
ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ถึงเวลามุ่งเน้นไปที่การทำการตลาดสินค้าให้โดดเด่น ความสำเร็จในโลกดิจิทัลขึ้นอยู่กับการทำสิ่งหนึ่งให้ดี: การดึงทราฟฟิกที่ตรงเป้าหมาย บทความเหล่านี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้
- คู่มือ วิธีสร้างยอดขายแรกสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
- อยากได้ทราฟฟิก? กลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วเพื่อเพิ่มทราฟฟิก
- คู่มือการดึงลูกค้าแบบครบวงจร
ทำการตลาดให้ร้านค้า
คุณเริ่มก้าวไปในทางที่ดีและอาจมียอดขายมาแล้วบ้าง ถึงเวลาจริงจังกับการลงทุนในด้านการตลาดร้านค้า บทความเหล่านี้จะช่วยคุณโฟกัสไปที่กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซที่ได้ผล หรือค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการเพิ่มทราฟฟิกและเปลี่ยนเป็นยอดขาย
พื้นฐานของการตลาดผ่านอีเมล
- เรียนรู้การตลาดอีเมล กลยุทธ์เพิ่มอัตราคลิก
- แคมเปญอีเมลอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มลูกค้า
- วิธีเขียนอีเมลต้อนรับสมาชิกใหม่ให้น่าสนใจ
เพิ่มทราฟฟิกจากโซเชียลมีเดีย
- วิธีสร้างกลยุทธ์โซเชียลมีเดียที่ขายได้จริง
- วิธีเพิ่มผู้ติดตามบน Instagram
- วิธีโปรโมทธุรกิจของคุณบน Pinterest ให้สำเร็จ
- เริ่มช่อง YouTube ยังไงให้ประสบความสำเร็จ
- คู่มือครบวงจรการตลาดอินฟลูเอนเซอร์
เพิ่มทราฟฟิกและยอดขายด้วยโฆษณาเสียเงิน
เพิ่มประสิทธิภาพเพื่ออัตรา Conversion ที่สูงขึ้น
การเพิ่มอัตรา Conversion ให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณเริ่มต้นจากการปรับปรุงและทดลองสิ่งต่างๆ บทความเหล่านี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีปรับแต่งเพื่อเพิ่มยอดขาย
- A/B Testing คืออะไร วิธีทำและตัวอย่างที่ใช้ได้จริง
- วิธีค้นหาและปิดช่องโหว่ในช่องทางการขาย
- วิธีเพิ่มยอดขายด้วย Live Chat
- เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเติบโตและ CRO ในการเพิ่มรายได้
- 9 วิธีสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า แม้ไม่มียอดขายเลยสักครั้ง
- เช็คลิสต์ 39 ข้อ ร้านค้าออนไลน์ของคุณเชื่อถือได้แค่ไหน?
- มีทราฟฟิก แต่ไม่ได้ยอดขาย? วิธีวิเคราะห์และปรับปรุงร้าน
การใช้งาน Analytics เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึก
- คู่มือเริ่มต้นการวิเคราะห์ Shopify Reports และ Analytics
- ส่วนต่างๆ ของ Google Analytics
- Google Analytics Custom Reports จากผู้เชี่ยวชาญ
- Facebook Custom Audiences 101 คู่มือเริ่มต้นสำหรับอีคอมเมิร์ซ
ตัวอย่างแรงบันดาลใจจาก Gymshark แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกาย Gymshark กลายเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซมูลค่าพันล้าน เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลการขายและสร้างชุมชนด้วยแคมเปญ Influencer Marketing!
5 เคล็ดลับเริ่มร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
- ลืมเรื่องการทำกำไรในปีแรกไปก่อน
- รู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ขายสินค้าที่ตลาดต้องการ
- ทดลองการตลาดและโฆษณา
- ลงทุนกับ Outreach และ Link Building
1. ลืมเรื่องการทำกำไรในปีแรกไปก่อน
การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น อย่าวัดความสำเร็จของธุรกิจด้วยผลกำไรในปีแรก ให้เวลากับตัวเอง 18-24 เดือน เพื่อให้ธุรกิจตั้งหลักได้ ปีแรกควรใช้ไปกับการทดลอง ปรับปรุง และนำยอดขายที่ได้กลับมาลงทุนในธุรกิจอีกครั้ง โดยใช้แนวทางการจัดงบประมาณด้านล่าง
2. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ
นอกจากการพัฒนาหรือจัดหาสินค้าแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของคุณจะใช้ไปกับการดึงความสนใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะคุณต้องการให้สินค้าของคุณไปถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช่ คนที่พร้อมจะซื้อสินค้าของคุณ การเข้าใจคนกลุ่มนี้ หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเป้าหมาย" จะช่วยให้คุณเข้าถึงพวกเขาได้เร็วขึ้นและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
3. ขายสินค้าที่ตลาดต้องการ
สร้างหรือขายสินค้าที่โดดเด่นและมีความต้องการในตลาด ลองดูตัวอย่างแบรนด์ดังอย่าง Allbirds, Tushy และ Bombas จะเห็นได้ว่าพวกเขาขายสินค้าที่มีคุณภาพสูง
“คุณภาพของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสินค้าที่ดีจะขายตัวมันเองได้”
Eric Even Haim, CEO ของแอป upsell และ cross-sell อย่าง ReConvert กล่าวไว้ว่า “เมื่อสินค้าที่ดีเจอกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ มันจะทำให้การตลาดง่ายขึ้น 10 เท่า”
Eric อธิบายว่าสินค้าใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็น “ของใหม่ที่เปลี่ยนโลก” คุณแค่ต้องมองหาตลาดที่กำลังเติบโตหรือกลุ่มลูกค้าที่ขาดแคลนตัวเลือก
“จากนั้นก้าวเข้าไปด้วยสินค้าที่เยี่ยมยอด และมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้” Eric กล่าว
แหล่งข้อมูลสองแห่งที่ช่วยค้นหาความต้องการในตลาดคือ:
- Google Trends สำหรับค้นหาหัวข้อที่คนกำลังค้นหา
- Trends.co ใช้ข้อมูลเพื่อทำนายเทรนด์และโอกาสทางธุรกิจก่อนจะเป็นที่นิยม
“เมื่อสินค้าที่ดีเจอกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ การตลาดจะง่ายขึ้น 10 เท่า”
Eric Even Haim, CEO ของ ReConvert
4. ลองผิดลองถูกกับการตลาดและโฆษณา
หลังจากเปิดตัวธุรกิจใหม่ สิ่งสำคัญคือการโปรโมทให้คนรู้จัก ลองใช้กลยุทธ์การตลาดหลากหลายรูปแบบเพื่อเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ไหนและตอบสนองต่อเนื้อหาของคุณได้ดีที่สุด
ลองทดสอบวิธีการตลาดออนไลน์ต่างๆ เช่น
- Affiliate Marketing
- โฆษณาอินสตาแกรม
- ป๊อปอัปบนเว็บไซต์
- การ Upsell และ Cross-sell ในหน้าชำระเงิน
- การค้นหาแบบออแกนิค
- คอนเทนต์มาร์เกตติ้ง
- โปรแกรมลอยัลตี้
“ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการทดลอง ทดสอบ และวิเคราะห์กลยุทธ์โฆษณาและการตลาด” Stephen Light, CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่นอน Nolah กล่าว “การทดลองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการคาดเดาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่อาจทำให้คุณเสียประโยชน์มากกว่าได้”
Stephen แนะนำให้เปิดใจยอมรับความผิดพลาด โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น ใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้เพื่อสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดึงทราฟฟิกและเพิ่มกำไร
“นอกจากนี้ การปรับแคมเปญโฆษณาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการรีแอคของลูกค้า สามารถช่วยพัฒนาฟีเจอร์ในเว็บไซต์ได้อีกด้วย” Stephen กล่าว
“การทดลองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการคาดเดาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี”
Stephen Light ซีอีโอ CEO
5. ลงทุนกับ Outreach และ Link Building
อีกหนึ่งเคล็ดลับสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซใหม่คือการวางแผน Outreach และ Link Building ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มอันดับ SEO ใน Google
“ยิ่งคุณเริ่มสร้างลิงก์และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ได้เร็วเท่าไหร่ เครื่องมือค้นหาก็จะยอมรับเว็บไซต์ของคุณว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมวดหมู่ของคุณได้เร็วเท่านั้น” James Taylor ผู้เชี่ยวชาญ SEO จากสหราชอาณาจักรกล่าว
“เครื่องมือค้นหามองว่าลิงก์จากแหล่งที่เชื่อถือได้เป็นเหมือนคะแนนความไว้วางใจต่อเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งคุณมีลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ เครื่องมือค้นหาก็ยิ่งเชื่อถือเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น”
James แนะนำให้เจ้าของร้านค้าอีคอมเมิร์ซใหม่ลงทุนในแคมเปญ PR ดิจิทัลและการสร้างลิงก์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยวางรากฐานให้ SEO ประสบความสำเร็จในระยะยาว คุณจะสามารถอันดับสูงขึ้นใน Google ดึงทราฟฟิกแบบ Organic และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
“ยิ่งคุณเริ่มสร้างลิงก์และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ได้เร็วเท่าไหร่ เครื่องมือค้นหาก็จะยอมรับเว็บไซต์ของคุณว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมวดหมู่ของคุณได้เร็วเท่านั้น”
James Taylor, ผู้เชี่ยวชาญ SEO
จะเริ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใช้เงินเพียงประมาณ 3,500 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าโดเมนและธีมสำหรับร้านค้า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีต้นทุนต่ำกว่าร้านค้าที่เปิดหน้าร้าน เพราะไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตและเอกสารเท่ากัน และไม่ต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ร้านค้า
ถ้าเลือกใช้โมเดลธุรกิจดรอปชิป ต้นทุนจะต่ำลงไปอีก เพราะไม่ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบ สต็อกสินค้า หรือแรงงาน คุณจ่ายเงินเฉพาะเมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเท่านั้น แต่ถ้าผลิตสินค้าเองหรือทำงานร่วมกับโรงงาน คุณจะต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ วัตถุดิบ และแรงงานล่วงหน้า
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 150 คน และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก 300 คนในสหรัฐฯ พบว่าหลายคนเรียนรู้การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วยงบประมาณที่จำกัด
การวิจัยชี้ให้เห็นว่าเจ้าของร้านค้าอีคอมเมิร์ซใหม่ อาจต้องเตรียมค่าใช้จ่ายรวมในปีแรกเป็นหลักหมื่นบาท โดยค่าใช้จ่ายแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
- สินค้า: วัตถุดิบ สต็อกสินค้า ซัพพลายเออร์ การผลิต สิทธิบัตร ฯลฯ
- การดำเนินงาน: ค่าจดทะเบียน/ค่ากฎหมาย ซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ประกันธุรกิจ การบัญชี ฯลฯ
- ร้านค้าออนไลน์: ค่าสมัครแพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ โฮสติ้ง/โดเมน ค่าจ้างนักพัฒนา/นักออกแบบ ฯลฯ
- การจัดส่ง: บรรจุภัณฑ์ ฉลาก ฯลฯ
- ออฟไลน์: ค่าเช่าพื้นที่ ค่าเดินทาง ฯลฯ
- ทีมงาน/พนักงาน: เงินเดือน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ ฯลฯ
- การตลาด: โลโก้ แบรนด์ โฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ นามบัตร ฯลฯ
ในปีแรก เจ้าของธุรกิจมีค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน ดังนี้
- 11% ค่าดำเนินงาน
- 10.3% ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด
- 9% ค่าใช้จ่ายออนไลน์
- 31.6% ต้นทุนสินค้า
- 8.7% ค่าขนส่ง
- 18.8% ค่าทีมงาน
- 10.5% ค่าใช้จ่ายออฟไลน์
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ค่าใช้จ่ายในปีแรกอาจแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จำนวนพนักงาน หรือแม้กระทั่งว่าธุรกิจนี้เป็นงานเต็มเวลาหรือไม่
คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินสดหมุนเวียนจำนวนมากเพื่อเริ่มต้นคิดเรื่องการเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ (66%) ใช้เงินออมส่วนตัวเพื่อเป็นทุนเริ่มต้น แต่ผู้ตอบแบบสำรวจยังระบุว่าบางส่วนได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากเพื่อนและครอบครัว (23%) และใช้สินเชื่อส่วนบุคคล (21%) ด้วยเช่นกัน
เริ่มร้านอีคอมเมิร์ซของคุณเลยตอนนี้
การสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเลือกสินค้า การประเมินความเป็นไปได้ การหาวิธีผลิตสินค้า การสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และการทำการตลาดเพื่อขายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ บางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังแก้ปริศนาที่ยาก แต่ความสำเร็จที่ได้มาก็คุ้มค่า
หวังว่าคู่มือนี้จะช่วยเป็นแผนที่นำทางในเส้นทางธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ และคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ใครจะให้ได้คือการเริ่มต้นลงมือทำ และสนุกไปกับทุกก้าวของการเดินทาง
ภาพประกอบโดย Cornelia Li
ตั้งแต่ผู้ขายมือใหม่จนถึงผู้ค้าปลีกระดับโลก Shopify เหมาะสำหรับทุกคน ดูแผนและราคาเลย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซคืออะไร?
อีคอมเมิร์ซคือการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซดำเนินการผ่านร้านค้าออนไลน์ ตลาดออนไลน์ โซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ อีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอการช้อปปิ้งที่สะดวกสบายแก่ผู้ซื้อทั่วโลก
จะเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้ยังไงบ้าง?
เริ่มจากการค้นหาสินค้าที่คุณต้องการขายหรือสามารถจัดหามาขายได้ เลือกชื่อธุรกิจ จดทะเบียนธุรกิจกับภาครัฐ และขอใบอนุญาตต่างๆ จากนั้นเลือกซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซ สร้างเว็บไซต์ของคุณ อัปโหลดสินค้า เปิดตัวร้านค้า และเริ่มทำการตลาดธุรกิจของคุณ
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีกี่ประเภท?
- Business to consumer (B2C): ขายสินค้า/บริการให้ผู้บริโภคโดยตรง (เช่น ซื้อแจ็คเก็ตจากร้านค้าออนไลน์)
- Business to business (B2B): ขายสินค้า/บริการให้ธุรกิจอื่น (เช่น ขายสินค้าขายส่งให้ธุรกิจอื่นนำไปใช้)
- Consumer to consumer (C2C): ขายสินค้า/บริการให้ผู้บริโภครายอื่น (เช่น ขายเสื้อผ้าวินเทจบน Facebook Marketplace)
- Consumer to business (C2B): ขายสินค้า/บริการให้ธุรกิจ (เช่น อินฟลูเอนเซอร์เสนอการโปรโมตให้กับแบรนด์เพื่อแลกกับค่าตอบแทน)
อีคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจออนไลน์ที่ทำกำไรได้หรือไม่?
ได้ อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซสามารถทำกำไรได้ แต่การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่ระยะสั้น อาจใช้เวลา 18-24 เดือนกว่าธุรกิจจะเริ่มต้นได้อย่างมั่นคง ดังนั้นอย่าวัดความสำเร็จจากกำไรในปีแรกเพียงอย่างเดียว
การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณยากหรือไม่?
ไม่ยาก การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซทำได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีแพลตฟอร์มอย่าง Shopify ที่ช่วยให้คุณสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม การสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการทำงานหนักและการวิจัยตลาดอย่างต่อเนื่อง อ่านคู่มือนี้เกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซก่อนเปิดร้านค้าออนไลน์ของคุณได้เลย!