โมเดลธุรกิจดรอปชิปยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตลาดทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 200 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2033
แม้โอกาสในธุรกิจดรอปชิปจะดูน่าสนใจ แต่การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ดรอปชิปเปอร์หลายคนมักเจอกับปัญหาในการหาสินค้าที่กำลังเป็นเทรนด์ เจอซัพพลายเออร์ที่ไว้ใจได้ หรือดึงทราฟฟิกมายังร้านค้าไม่ได้ตามที่หวัง
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเรียนรู้จากดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จจึงมีคุณค่า เพราะพวกเขาได้ผ่านเส้นทางการลองผิดลองถูก และค้นพบวิธีการขยายธุรกิจให้เติบโตได้จริง
อัตราความสำเร็จเฉลี่ยของดรอปชิป คือเท่าไหร่?
ถ้าคุณลองค้นหาข้อมูลใน Reddit, Quora หรือฟอรั่มออนไลน์อื่น ๆ จะพบว่าความเห็นส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ธุรกิจดรอปชิปส่วนมาก “ไปไม่รอด” แต่ในความเป็นจริง หลายกรณีอาจไม่ได้ล้มเหลวเสียทีเดียว แต่อาจเป็นแค่ธุรกิจที่ยังต้องการเวลาและการลงทุนเพิ่มเติมก่อนจะเริ่มทำกำไรได้
หากคุณอยากเป็นหนึ่งในดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือการทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลา เพื่อให้ธุรกิจของคุณเริ่มมีกำไรและเติบโตได้ เหมือนผู้ประกอบการที่เรากำลังจะพาคุณไปรู้จักในเนื้อหาต่อไปนี้
เรื่องจริงของ 4 ดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ
การเริ่มต้นธุรกิจดรอปชิปคือการก้าวเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซที่หมุนเร็ว เปลี่ยนเร็ว ทุกเดือนมีทั้งคู่แข่งใหม่ กลยุทธ์ใหม่ และโอกาสใหม่ ๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่ดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จทำแตกต่างจากคนอื่น?
มาดูตัวอย่างจากเจ้าของร้าน Shopify เหล่านี้ ที่ใช้โมเดลดรอปชิปและสร้างยอดขายได้อย่างน่าประทับใจ
- Tze ทำกำไรประมาณ 685,000 บาท ภายใน 2 เดือน
- Cole ทำยอดขายกว่า 72 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 1 ปี
- Andreas และ Alexander มีรายได้แตะระดับ 360 ล้านบาทต่อปี
- Sarah และ Audrey สร้างยอดขายกว่า 36 ล้านบาท ด้วยอินฟลูฯ มาร์เก็ตติ้ง
1. Tze ทำกำไรกว่า 6 แสนบาท ใน 2 เดือน

Tze Hing Chan ร่วมก่อตั้งร้านดรอปชิป Subtle Asian Treats ซึ่งขายตุ๊กตาชานมไข่มุกและของน่ารักอื่น ๆ ที่คัดเลือกด้วยตัวเอง ร้านนี้เริ่มต้นในช่วงการระบาดของ COVID-19 และ Tze ทำกำไรได้มากถึง $19,000 (ประมาณ 685,000 บาท) ภายในเวลาเพียงสองเดือนจากการขายตุ๊กตาชานมไข่มุกแบบดรอปชิป
แต่เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรก ระหว่างทางมีทั้งความล้มเหลวและบทเรียนมากมาย Tze เริ่มต้นจากการขายเคสโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเปลี่ยนไปขายของใช้ในครัวและสินค้าแนวศิลปะป้องกันตัว จนกระทั่งเขาเจอไอเดียสินค้าที่ทำกำไรได้ดีที่สุด นั่นก็คือตุ๊กตา
ทำไมร้านดรอปชิปนี้ถึงประสบความสำเร็จ?
สินค้าในหมวดที่กำลังเป็นเทรนด์
Tze รู้ว่าชานมไข่มุกเริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มชุมชนชาวเอเชีย เขาจึงค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชานมบน AliExpress และเริ่มขายเคสโทรศัพท์ลายชานม ซึ่งเป็นสินค้าที่น่าขาย แต่ยังมีกำไรไม่สูง
ร้านค้าที่มีความเป็นมืออาชีพ
Tze ให้ความสำคัญกับร้านของเขาเป็นพิเศษ เขาแก้ไขรูปภาพสินค้าแต่ละชิ้นด้วยตัวเอง และเขียนคำอธิบายสินค้าที่ดึงดูดใจ เพราะเขาต้องการให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งในร้านของเขาเหมือนกับเวลาที่ลูกค้าเข้าเว็บไซต์แบรนด์ใหญ่อย่าง Nike หรือ Adidas
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
Tze มีความโปร่งใสในกระบวนการซื้อสินค้า หน้าเพจของเขามีนโยบายการจัดส่งที่ชัดเจน ระบุเวลาจัดส่งและประเทศต้นทางของสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามีความคาดหวังที่ตรงกับความจริง เขายังใช้เวลาในการพูดคุยกับผู้ติดตามบน Facebook และ Instagram เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับทั้งลูกค้าและอินฟลูเอนเซอร์ พร้อมกับตอบกลับคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังซื้อของจากเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ
2. Cole: ทำยอดขายกว่า 72 ล้าน ใน 1 ปี

หลังจากรู้จักโมเดลดรอปชิปตอนอายุ 18 ปี Cole Turner ก็หลงใหลในโลกของการขายของออนไลน์ และเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ภายในเวลาเพียง 4 ปี เขาก็สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายรวมกว่า $2 ล้าน (ประมาณ 75 ล้านบาท) ระหว่างเดือนมีนาคม 2019 ถึงพฤษภาคม 2020
Cole เริ่มต้นด้วยการสร้าง “ร้านแนวทั่วไป” (General store) เพื่อทดสอบสินค้าหลายประเภท จนในที่สุดเขาก็พบเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้อย่างชัดเจน เขาจึงเร่งทำโฆษณาบน Facebook และออกแบบร้านใหม่ให้กลายเป็นร้านขายสินค้าเพียงชิ้นเดียวโดยเฉพาะ (One-product store)
ร้านนี้สร้างยอดขายให้เขาได้มากกว่า $75,000 (ประมาณ 2.7 ล้านบาท) ก่อนที่เขาจะขายร้านต่อให้กับนักธุรกิจอีคอมเมิร์ซอีกคน
และกว่าจะถึงร้านดรอปชิปร้านที่สาม เขาก็สามารถทำยอดขายทะลุ $2.1 ล้าน (ประมาณ 75.6 ล้านบาท) ได้ภายในเวลาเพียงปีเศษ
อะไรที่ทำให้ Cole กลายเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
การขยายโฆษณา Facebook อย่างมีระบบ
Cole ใช้โฆษณาบน Facebook เป็นช่องทางหลักในการขาย เขาเริ่มจากการระบุกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มที่น่าจะสนใจสินค้า จากนั้นยิงโฆษณาแยกให้ทั้งสองกลุ่มเพื่อเก็บข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลมากพอ เขาจะวิเคราะห์ว่ากลุ่มไหนมีประสิทธิภาพดีที่สุด แล้วจึงเพิ่มงบโฆษณาในกลุ่มนั้น
สร้างแบรนด์เพื่อผลระยะยาว
ในยุคที่การแข่งขันสูง วิธีเดียวที่ร้านจะอยู่รอดได้คือการสร้างเอกลักษณ์แบรนด์และจุดขายที่ไม่เหมือนใคร ถึงแม้ว่าคุณจะใช้โมเดลดรอปชิปจาก AliExpress ก็ตาม แต่เว็บไซต์ของคุณต้องดูเหมือนธุรกิจจริง มีความน่าเชื่อถือ และผู้ซื้อรู้สึกไว้ใจที่จะกดสั่งสินค้า
การบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม
อีกหนึ่งวิธีในการสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าคือ “การบริการ” Cole เพิ่มเบอร์โทรศัพท์ให้ลูกค้าสามารถโทรหรือส่งข้อความเข้ามาสอบถามได้ พร้อมระบุเวลาที่สามารถให้บริการได้อย่างชัดเจน และในช่วงเวลาทำการ ทีมของเขาจะตอบทุกข้อความภายใน 30 นาทีหลังจากได้รับคำถาม ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจและมีคุณค่า
3. Andreas และ Alexander มีรายได้แตะระดับ 360 ล้านบาทต่อปี
เมื่อ Andreas Koenig และ Alexander Pecka เริ่มต้นธุรกิจดรอปชิป เป้าหมายของพวกเขาคือทำยอดขายให้ได้ $1,000 ต่อวัน (ประมาณ 36,000 บาทต่อวัน) แต่หลังจากพยายามมานานกว่าหนึ่งปีโดยยังไม่เห็นผลลัพธ์ พวกเขาก็เริ่มค้นพบตลาดที่ใช่ นั่นคือ กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง
ในปี 2019 พวกเขาสามารถทำยอดขายได้ถึง $500,000 ต่อเดือน (ประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน)
ปัจจุบัน ธุรกิจขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงของ Andreas และ Alexander เติบโตจนสามารถทำรายได้ มากกว่า $10 ล้านต่อปี หรือประมาณ 360 ล้านบาทต่อปี
อะไรทำให้พวกเขากลายเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
เชื่อมโยงกับอารมณ์ของลูกค้า
ตลาดเฉพาะ (niche) ที่เกี่ยวข้องกับความผูกพันทางอารมณ์ เช่น สัตว์เลี้ยงหรือเด็ก มักเปิดโอกาสให้แบรนด์สามารถสร้างจุดแตกต่างได้ง่ายกว่าตลาดทั่วไป เพราะลูกค้ามีความรู้สึก “อิน” กับสินค้าเหล่านี้ และมักเต็มใจจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนหรือสัตว์ที่พวกเขารัก
โฆษณาบน Facebook และการตลาดแบบออร์แกนิก
ธุรกิจดรอปชิปร้านแรกๆ ของทั้งสองล้มเหลว เพราะไม่มีความรู้ด้านโฆษณาและการตลาดมากพอ แต่เมื่อพวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับ โฆษณาบน Facebook และลงทุนเวลาใน การทำคอนเทนต์เพื่อการตลาดแบบออร์แกนิก (organic marketing) อย่างจริงจัง ก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
ทุ่มเทเวลาและแรงอย่างต่อเนื่อง
แม้ความพยายามครั้งแรกจะล้มเหลว แต่ Andreas และ Alexander ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขารู้ว่าการหารายได้จากออนไลน์นั้นต้องใช้ “ความพยายาม” และ “การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง” ไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน
4. Sarah และ Audrey สร้างยอดขายกว่า 36 ล้านบาท ด้วยอินฟลูฯ มาร์เก็ตติ้ง

Sarah และ Audrey คือสองผู้ประกอบการด้านอีคอมเมิร์ซที่แต่ละคนมีธุรกิจดรอปชิปเป็นของตัวเอง ก่อนจะมาร่วมมือกันในปี 2019
แม้ว่าช่องทางขายที่ได้รับความนิยมในวงการดรอปชิปจะเป็น โฆษณาบน Facebook แต่ทั้งสองมองเห็นโอกาสใน การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งในระยะยาวพิสูจน์แล้วว่าทำกำไรได้จริง
หลังจากพบกันในงานสัมมนาผู้ประกอบการ Sarah และ Audrey ก็เริ่มวางแผนขยายแบรนด์เข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ อย่างจริงจัง พวกเธอร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์บน IG และใช้กลยุทธ์ วางสินค้า (product placement) อย่างต่อเนื่อง
และช่วงที่สหรัฐฯ เข้าสู่การล็อกดาวน์จากโควิด ทั้งคู่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยสามารถทำยอดขายทะลุ $1,000,000 (ประมาณ 36 ล้านบาท) ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ผ่านธุรกิจดรอปชิปของพวกเธอ
อะไรที่ทำให้ร้านดรอปชิปร้านนี้ของ Sarah และ Audrey ประสบความสำเร็จ?
เข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง
Sarah และ Audrey ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของพวกเธอ และคนกลุ่มนั้นนิยมใช้ช่องทางใดในการรับข้อมูลและซื้อสินค้า ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนการตลาดได้อย่างแม่นยำและตรงจุด
พลังของอินฟลูเอนเซอร์
อินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ ทั้งสองคนส่งอีเมลหาครีเอเตอร์มากถึง 200 รายต่อวัน เพื่อค้นหาคนที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับแบรนด์ของพวกเธอ พวกเธอเน้น สร้างความสัมพันธ์กับอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง แทนการผ่านเอเจนซี่ เพื่อให้ได้คอนเทนต์ที่เป็นธรรมชาติและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า
ใช้ IG Stories ในการวางสินค้าและโปรโมต
หลังจากได้อินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว Sarah และ Audrey ใช้ Instagram Stories เป็นเครื่องมือหลักในการวางสินค้า เพราะฟีเจอร์นี้ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้ชม และเปิดโอกาสให้แบรนด์สื่อสารได้แบบ “สั้น กระชับ ทันเทรนด์” ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ
รู้สึกมีแรงบันดาลใจและพร้อมจะเป็นเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซแล้วใช่มั้ย? มาดู 6 ปัจจัยสำคัญ ที่คุณต้องโฟกัสเพื่อก้าวสู่การเป็น ดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ
- ให้คุณค่ากับลูกค้า
- ให้ความสำคัญกับการตลาดและ SEO
- เจาะจงกลุ่มเฉพาะ
- คิดระยะยาว
- บริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม
- อย่าติดกับรายละเอียดเล็กน้อยเกินไป
1. เพิ่มคุณค่าให้ลูกค้า
การมีแผนที่ชัดเจนว่า “คุณจะเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าได้อย่างไร” ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในโลกของดรอปชิปที่คุณต้องแข่งขันกับร้านอื่นๆ อีกมากมายที่ขายสินค้าคล้ายกันแทบทั้งนั้น
ในธุรกิจดรอปชิป หลายคนเข้าใจผิดว่าตนเองกำลัง ขายสินค้า ให้ลูกค้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมักจะขายมากกว่าแค่ “ตัวสินค้า” พวกเขาขายข้อมูล คำแนะนำ และการแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย
คุณอาจคิดว่าคุณเป็น “พ่อค้าออนไลน์” แต่ความจริงแล้วคุณคือผู้ให้ข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของได้ดีขึ้น ลองถามตัวเองว่า คุณจะช่วยลูกค้าแก้ปัญหาอย่างไร? คุณจะให้คำแนะนำเฉพาะทางได้ไหม?
ถ้าคุณยังไม่แน่ใจลองศึกษาตลาดเฉพาะเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจกลุ่มสินค้าที่คุณสนใจให้ลึกขึ้น เพราะหากคุณไม่สามารถเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าได้จริง สิ่งเดียวที่คุณจะแข่งขันได้คือ “ราคา” และการแข่งขันด้วยราคานั้นไม่ยั่งยืน (เว้นแต่คุณจะเป็น Walmart)
2. ให้ความสำคัญกับการตลาดและ SEO
หลังจากคุณเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าได้แล้ว การดึงทราฟฟิกมายังเว็บไซต์คือปัจจัยความสำเร็จลำดับถัดไป พ่อค้าออนไลน์จำนวนมากใช้เวลาหลายเดือนเพื่อสร้างเว็บไซต์ให้ “สมบูรณ์แบบ” แต่สุดท้ายกลับพบว่าไม่มีใครรู้จักหรือค้นหาเว็บไซต์นั้นเลย
การดึงทราฟฟิกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จของธุรกิจ และอาจมีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องจ้างมืออาชีพ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณมีงบประมาณจำกัดหรือกำลังเริ่มต้นธุรกิจแบบ Bootstrap การมีทักษะด้าน SEO การตลาด การทำ Outreach และการเขียนบทความเพื่อโพสต์ตามเว็บอื่น ๆ ด้วยตัวเองจะช่วยได้มาก
เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งในช่วง 6–12 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีใครรู้จักแบรนด์ของคุณ หลังจากเว็บไซต์ของคุณเปิดใช้งานแล้ว คุณควรทุ่มเวลาอย่างน้อย 75% ให้กับงานด้านการตลาด การทำ SEO และการสร้างทราฟฟิกอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 4–6 เดือน ใช่แล้ว อย่างน้อย 4–6 เดือน เมื่อคุณมีรากฐานด้านการตลาดที่มั่นคงแล้ว คุณค่อยลดระดับการทำงานลง และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่สร้างไว้ก่อนหน้าได้ แต่ในช่วงแรก การทุ่มเวลากับการตลาดนั้นไม่มีคำว่า “มากเกินไป”
หากตอนนี้คุณยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดหรือ SEO ทรัพยากรและบล็อกเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้
แหล่งเรียนรู้ด้าน SEO
- Moz หนึ่งในคอมมูนิตี้ SEO ที่ได้รับความนิยมสูงสุดออนไลน์ คู่มือ SEO สำหรับมือใหม่ของ Moz เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้
- Search Engine Land บล็อกด้าน SEO ที่อัปเดตบ่อยมาก มีบทความใหม่เผยแพร่ทุกวัน
- SEOBook บล็อก SEO ที่ได้รับความนิยม พร้อมชุมชนแบบเสียค่าใช้จ่ายสำหรับมืออาชีพด้าน SEO
- Brainlabs เอเจนซี่ด้านการตลาดและ SEO ที่มีบล็อกคุณภาพสูง พร้อมคอร์สฝึกอบรมและบทเรียนฟรีให้เลือกมากมาย
แหล่งเรียนรู้ด้านการตลาด
- บล็อกของ Seth Godin คำแนะนำเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการตลาดและการสร้างฐานผู้ติดตาม
- Copyblogger เคล็ดลับการตลาดคอนเทนต์ เน้นการเขียนข้อความโฆษณาให้มีประสิทธิภาพและดึงดูด
- Mixergy บทสัมภาษณ์กับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในวงการเทคโนโลยีและออนไลน์ แม้ไม่ได้เน้นด้านการตลาดโดยเฉพาะ แต่มีข้อมูลเชิงลึกมากมายสำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงคำแนะนำด้านการตลาดและการเริ่มต้นธุรกิจ
แหล่งเรียนรู้ด้านการตลาดสำหรับอีคอมเมิร์ซ
- Shopify blog บล็กครอบคลุมเรื่องอีคอมเมิร์ซ พร้อมบทความอัปเดตบ่อยเกี่ยวกับวิธีโปรโมตและทำการตลาดร้านค้าออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
- EcommerceFuel เคล็ดลับจากผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซตัวจริง เกี่ยวกับการเริ่มต้น ขยาย และทำตลาดร้านค้าออนไลน์ เขียนขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเจ้าของร้านรายบุคคลและร้านค้าขนาดเล็ก
3. เจาะจงกลุ่มเฉพาะ
ร้านดรอปชิปที่ประสบความสำเร็จแทบทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขา “เลือกขายของเฉพาะกลุ่ม” ไม่ใช่ขายของแบบจับฉ่าย ยิ่งร้านโฟกัสเฉพาะกลุ่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
คุณไม่ควรแค่ขาย “เป้สะพายหลัง” แต่ควรขาย “เป้ที่ออกแบบมาเพื่อแบ็กแพ็กเกอร์เที่ยวรอบโลกที่ต้องการของเบาและทน” หรือไม่ใช่แค่ขาย “กล้องวงจรปิด” แต่ควรขาย “ระบบรักษาความปลอดภัยที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับปั๊มน้ำมัน”
หลายคนอาจคิดว่าการเลือกขายเฉพาะกลุ่มจะทำให้ฐานลูกค้าเล็กลง ขายได้น้อยลง แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นข้อดี เพราะคุณจะสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โดดเด่นกว่าคู่แข่งง่าย และไม่ต้องแข่งกับร้านทั่วไปนับพันร้านที่ขายของเหมือน ๆ กัน
หากคุณกำลังเปิดร้านในหมวดใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเน้นกลุ่มไหน ไม่เป็นไรเลย เพราะเมื่อคุณเริ่มขายไปสักพัก คุณจะเริ่มรู้ว่ากลุ่มไหนทำรายได้ดีที่สุด และสามารถให้คุณค่ากับพวกเขาได้มากที่สุด จากนั้นค่อย ๆ ปรับร้านให้ตอบโจทย์กลุ่มนั้นโดยเฉพาะ คุณจะเห็นว่าประสิทธิภาพในการขายของคุณพุ่งขึ้นอย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะขายในราคาสูงกว่าก็ตาม
จำไว้ว่าถ้าคุณพยายามขายของให้ “ทุกคน” สุดท้ายอาจไม่มีใครซื้อเลย แต่ถ้าคุณโฟกัสเฉพาะกลุ่ม จะสร้างความแตกต่างได้มากขึ้น กล้าตั้งราคาสูงขึ้น และใช้งบการตลาดได้คุ้มค่ากว่าเยอะเลย
4. มองธุรกิจในระยะยาว
การสร้างธุรกิจดรอปชิปก็เหมือนกับการสร้างสิ่งอื่นที่มีคุณค่า นั่นคือต้องใช้ความมุ่งมั่นและการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว แต่บางคนกลับคิดว่าพวกเขาสามารถสร้างรายได้หกหลักแบบพาสซีฟจากดรอปชิปได้ภายในไม่กี่เดือนด้วยความพยายามแบบพาร์ตไทม์
ในความเป็นจริง คุณจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ในการสร้างธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ระดับเต็มเวลาโดยเฉลี่ย
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องเข้าใจว่าช่วงสองสามเดือนแรกนั้นยากที่สุด คุณจะต้องเผชิญกับความสงสัยในตัวเอง เจอปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ และอาจเปิดตัวเว็บไซต์แบบเงียบเชียบโดยไม่มีคำสั่งซื้อแม้แต่ชิ้นเดียว ต้องเข้าใจว่านี่คือเรื่องปกติ โรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว และธุรกิจดรอปชิปที่ประสบความสำเร็จเองก็เช่นกัน
หากคุณเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นที่ท้าทาย และไม่ได้คาดหวังว่าจะร่ำรวยในชั่วข้ามคืน คุณจะมีแนวโน้มที่จะยืนหยัดกับธุรกิจของคุณจนกว่าจะประสบความสำเร็จได้มากกว่า
5. นำเสนอบริการที่ยอดเยี่ยม
อินเทอร์เน็ตเคยเป็นพื้นที่ที่โปร่งใสพอสมควรอยู่แล้ว แต่การเติบโตของโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ทำให้ชื่อเสียงของธุรกิจคุณมีความสำคัญต่อความสำเร็จออนไลน์มากยิ่งขึ้น หากคุณปฏิบัติต่อลูกค้าไม่ดี ลูกค้าจะบอกต่อเรื่องราวเหล่านั้นให้คนอื่นรู้ ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าใหม่ที่อาจกลายเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต
ความเสี่ยงด้านบริการลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดสำหรับพ่อค้าดรอปชิปคือการโฟกัสแต่กำไร/ขาดทุนต่อคำสั่งซื้อ แล้วมองข้ามปัญหาในกระบวนการจัดส่งสินค้าไป ตามที่กล่าวไว้ในคู่มือดรอปชิปกับ Amazon สิ่งสำคัญคือคุณต้องยอมรับว่าดรอปชิปอาจมีความวุ่นวายบ้าง คุณต้องพร้อมจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง และคุณไม่ควรผลักภาระนั้นไปให้กับลูกค้า หากคุณไม่ยอมเสียเงินบ้างเพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดี แปลว่าคุณอาจไม่ได้ให้บริการที่ดีเท่าที่ควร
การมีลูกค้าที่พึงพอใจคือรูปแบบการตลาดที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ การขายให้กับลูกค้าที่เคยซื้อไปแล้วจะง่ายกว่าการโน้มน้าวลูกค้าใหม่มาก หากคุณดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี พวกเขาก็จะบอกต่อและแนะนำร้านของคุณให้ผู้อื่นรู้จัก ด้วยบริการที่ยอดเยี่ยม คุณสามารถสร้างธุรกิจที่มีรายได้หลักมาจากลูกค้าเก่าได้
การให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าคือการวางรากฐานสำหรับความสำเร็จของธุรกิจดรอปชิปของคุณ ดังนั้นควรให้ความสำคัญตั้งแต่แรกเริ่ม
6. อย่าติดอยู่กับรายละเอียด
อย่าเสียเวลากับรายละเอียดเล็กน้อยมากเกินไป ไม่ว่าชื่อร้าน โลโก้ ธีมเว็บไซต์ หรือบริการอีเมลมาร์เก็ตติ้ง จะไม่ใช่สิ่งที่กำหนดความสำเร็จของธุรกิจคุณ
ความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น การสร้างคุณค่า การตลาด การบริการลูกค้า การเลือกกลุ่มเป้าหมาย และความมุ่งมั่น ทว่าเจ้าของร้านมือใหม่หลายคนกลับใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือแม้แต่หลายเดือน เพื่อตัดสินใจเรื่องเล็ก ๆ เช่น จะเลือกใช้ระบบร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการรายไหนดี ทั้งที่เวลานั้นควรถูกใช้ไปกับการพัฒนาธุรกิจในด้านหลักมากกว่า
ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ แล้วตัดสินใจให้ชัดเจน แต่อย่าปล่อยให้เรื่องเล็ก ๆ มาทำให้คุณชะงักจนธุรกิจไม่เริ่มเสียที
ขั้นตอนสำคัญในการเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำ คือ การเริ่มต้นสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซของตัวเองจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับหลายคน เพราะมักติดอยู่ที่ความกลัวและความไม่มั่นใจ
มีความเข้าใจผิดอย่างมากว่า ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมั่นใจในแผนธุรกิจของตนตั้งแต่ต้น แต่ถ้าคุณได้ลองลงลึกไปดูจริง ๆ จะพบว่าคนเหล่านั้นก็มีความกังวลและไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังลงมือทำต่อไปแม้จะมีข้อสงสัยอยู่ในใจ
ถ้าคุณอยากจริงจังกับการสร้างธุรกิจดรอปชิปของตัวเอง คุณก็ต้องทำแบบเดียวกัน ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ประเมินทางเลือกของคุณ แล้วเดินหน้าต่อด้วยสิ่งที่คุณรู้ แม้ว่าจะยังรู้สึกกลัวหรือไม่มั่นใจอยู่ก็ตาม เพราะนั่นแหละคือสิ่งที่ผู้ประกอบการตัวจริงทำ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ
ดรอปชิปยังคงทำกำไรได้อยู่หรือไม่?
ได้ โมเดลธุรกิจดรอปชิปยังคงทำกำไรได้ดี เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากคุณไม่ต้องรับผิดชอบด้านการผลิตหรือการจัดส่งสินค้าเอง นอกจากนี้ ดรอปชิปยังสามารถขยายธุรกิจได้ง่าย โดยมีกำไรเฉลี่ยต่อสินค้าประมาณ 15% ถึง 20%
คุณสามารถรวยจากการทำดรอปชิปได้หรือไม่?
ดรอปชิปเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างรายได้ที่มั่นคง และต่อยอดเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการรวยแบบรวดเร็ว ดรอปชิปอาจไม่ใช่ทางที่เหมาะสม เพราะธุรกิจนี้ต้องใช้ทั้งเวลาและเงินลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเป็นดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ?
จากตัวอย่างดรอปชิปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จที่กล่าวถึงข้างต้น จะเห็นว่ามีน้อยคนมากที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักผ่านการล้มเหลวจากหลายร้านก่อนจะเจอร้านที่เวิร์กจริง ๆ โดยทั่วไปแล้วอาจใช้เวลาประมาณ 6 ถึง 12 เดือนจึงจะเริ่มเห็นกำไร และประเมินได้ว่าธุรกิจนั้นเหมาะกับการลงทุนในระยะยาวหรือไม่
ดรอปชิปหมวดสินค้าไหนขายดีที่สุด?
- สุขภาพและการดูแลตัวเอง
- เสื้อผ้า เครื่องประดับ
- ของใช้ในครัว ของกินของใช้
- ของตกแต่งบ้านและห้องนอน
- อุปกรณ์สำนักงาน
- เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ซ่อมบ้าน
- อุปกรณ์กล้อง โทรศัพท์มือถือ
- เกมมิ่ง
- อุปกรณ์เสริมรถยนต์